การที่โรงกลั่นน้ำมันในซาอุดีอาราเบียถูกโจมตีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาทำให้ตลาดน้ำมันสัปดาห์นี้ต้องพลิกผันอีกครั้ง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นทุกตัวของสหรัฐฯ ปิดตัวได้สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม
ผลตอบแทนพันธบัตรก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้เป็นวันที่ 8 และกำลังจะไต่ขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์
ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังเป็นใจให้ตลาดหุ้นในช่วงนี้ปรับตัวขึ้นได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของทั่วโลก การเจรจาทางการค้าที่ดูจะมีความคืบหน้า รวมทั้ง การโจมตีจากโดรนลึกลับ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่มุ่งเป้าไปที่บริษัทอรามโกของซาอุดิอาราเบียซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศจนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้จนไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อได้
ตลาดในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรเมื่อตลาดหุ้นขึ้นมาทรงตัวอยู่ที่ระดับสูงสุดได้ก่อนที่จะมีการ ประชุมครั้งสำคัญของเฟด ในวันพุธนี้ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเกิดการ ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย อีกครั้ง แต่ที่แน่นอนก็คือตลาดควรต้องเตรียมพร้อมรับมือความผันผวนที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่รัฐบาลหลายแห่งก็ต้องเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดเพื่อเตรียมรับการยกระดับปฏิบัติการทางทหารในตะวันออกกลางที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ทิศทางใหม่ของตลาดในสัปดาห์นี้
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวโทษอิหร่านว่าเป็นสาเหตุของการโจมตี “แหล่งผลิตน้ำมันของโลก” ในครั้งนี้ โดยคาดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนซึ่งเป็นพันธมิตรของอิหร่าน การโจมตีในครั้งนี้ส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำมันที่จะผลิตได้ของซาอุดิอาราเบียซึ่งถือว่าเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันจำนวน 5% ของโลกให้หายไปราวครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
นายปอมเปโอกล่าวโทษอิหร่านว่าแสร้งทำเป็นต้องการ “สานสัมพันธไมตรีทางการทูต” ทั้งที่ในความเป็นจริงคือการ "ลดระดับความสัมพันธ์ลง” เขายังเขียนลงในทวีตไว้ด้วยว่า อิหร่านจะต้อง "รับผิดชอบกับการกระทำที่ป่าเถื่อนของตนเอง”
เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ทำให้ตลาดสัปดาห์นี้เริ่มปรับทิศทางใหม่อีกครั้ง แม้ว่าดัชนีทั้งสี่ตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นดัชนี S&P 500, NASDAQ และ Russell 2000 จะไต่ขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามแล้วก็ตามและคาดว่าน่าจะมีความ ผันผวน อย่างหนักเกิดขึ้นในช่วงนี้ได้
ทางด้านตลาดน้ำมันก็น่าจะมีการเปิดการซื้อขายกันอย่างคึกคักในวันจันทร์นี้เช่นกัน และมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง $10 ในขณะที่ตลาดที่มีความเสี่ยงอื่นๆ อาจปรับตัวลดลง
กราฟราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสรายสัปดาห์
ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง $10 จริง แต่ก็จะยังอยู่ต่ำกว่าราคาสูงสุดของเดือนเมษายนที่ระดับ $66.60 ซึ่งถือเป็นระดับที่ต้องไต่ขึ้นไปทดสอบก่อนที่จะสามารถยืนยันว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางได้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัตลดลง (-0.07%) นำโดยกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ ที่ปรับลงไปมากที่สุด (-1.2%) ส่วนหุ้นกลุ่ม วัสดุก่อสร้าง ทำผลงานได้ดีที่สุดของกลุ่มในแดนบวก (+1.13%)
กราฟหุ้น JPM รายวัน
หุ้นกลุ่ม สถาบันการเงิน ก็ยังปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน (+0.83%) ธนาคารที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกอย่าง JPMorgan Chase (ปรับขึ้นได้ +1.97% เมื่อวันศุกร์ คิดเป็น +6.77% สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา) แซงหน้าผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ไปทำลายสถิติสูงสุดของหุ้นกลุ่มธนาคารได้ นอกจากนั้นยังได้ทำรูปแบบ H&S ต่อเนื่องได้สมบูรณ์แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าน่าจะมีการปรับตัวขึ้นได้อีก
หุ้นกลุ่ม เทคโนโลยี ยังปรับตัวลดลง (-0.72%) เนื่องจากได้รับแรงกดดันจาก Apple (NASDAQ:AAPL) (-1.94%) และ Broadcom (-3.41%) หลังจากที่ผู้ผลิตชิปอย่าง Broadcom แสดงให้เห็น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาจาก รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 3 ซึ่งชี้ว่ายังมีความต้องการที่ยังต่ำอยู่
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.96% เมื่อเทียบเป็นรายสัปดาห์ โดยมีหุ้น 8 กลุ่มจากทั้งหมด 11 กลุ่มที่อยู่ในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน (+3.83%) กลุ่มพลังงาน (+3.47%) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (+3.32%) ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปีก็ยังสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 โดยปิดตลาดประจำสัปดาห์ทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หากพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคพบว่าราคาเริ่มข้ามเส้นแนวโน้มขาลงที่ลากมาตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมขึ้นไปได้และกำลังจะวิ่งต่อไปยังเส้นแนวโน้มขาลงที่ลากมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน