- สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพเศรษฐกิจยุโรปที่ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องและปัญหา Brexit ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ย และใช้มาตรการซื้อสินทรัพย์ (QE) รอบใหม่
- ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้คือ การประชุมนโยบายการเงินเฟด ที่ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% และส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางอังกฤษ จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
- อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในตลาดที่อาจพุ่งสูงขึ้น หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นตามที่ตลาดคาดหวังไว้ หรือตลาดหันมากังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่กำลังร้อนระอุ
- กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า 30.20-30.70 บาท/ดอลลาร์
มุมมองนโยบายการเงิน
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันพฤหัสฯ คาดว่าจะ“ลด”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% และมองว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม เพื่อหนุนการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ และรับมือปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ยังไม่มีบทสรุปกับความวุ่นวายจากปัญหา Brexit
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพฤหัสฯ ตลาดคาดว่าจะ“คง”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Balance Rate) ที่ระดับ -0.10% พร้อมทั้งคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์อายุ 10ปี ที่ระดับ 0.00% เพื่อกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% และหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในวันพฤหัสฯ ตลาดคาดว่าจะ“คง”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.75% อย่างไรก็ดี BOE มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง 1-2 ครั้ง หากเศรษฐกิจอังกฤษซบเซาลง หลังอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
- ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดคาดว่าภาพรวมภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังไม่สดใส สะท้อนจากดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดนิวยอร์ก (Empire State Manufacturing Index) ในวันจันทร์ที่จะลดลงสู่ระดับ 4.0 จุด จาก 4.8 จุดในเดือนก่อนหน้า
- ฝั่งยุโรป – ตลาดจะติดตามความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลง Brexit หลังผู้นำอังกฤษมีกำหนดการประชุมร่วมกับบรรดาผู้นำชาติยุโรปในวันจันทร์
- ฝั่งเอเชีย – วันจันทร์ ตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน อาทิ ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ที่จะขยายตัว 5.6%y/y ยอดค้าปลีก (Retail Sales) จะโตราว 7.9%y/y และยอดการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ชะลอตัวลงแตะระดับ 5.2%y/y ชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่สามารถหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนขยายตัวได้ดีขึ้น
- ฝั่งไทย – ตลาดมองว่า สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจะกดดันให้ยอดส่งออก (Exports) ในเดือนสิงหาคม หดตัว 2.3%y/y ส่วนยอดนำเข้า (Imports) ก็หดตัว 5.1%y/y