รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ได้เวลาสินทรัพย์เสี่ยงไปต่อ ...รอสะสม บอนด์ และทองคำ

เผยแพร่ 09/09/2562 14:40
อัพเดท 09/07/2566 17:32

Weekly Investment Theme: Sep 9 - 13, 2019

Market Review

นักลงทุนทั่วโลกกล้าเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนปรับตัวขึ้น จากปัจจัยบวก ทั้งแนวโน้มจีนกับสหรัฐฯ กลับมาเจรจาการค้าในเดือนหน้า การขยายตัวที่ดีกว่าคาดของภาคการบริการในจีน ยุโรปและสหรัฐฯ รวมถึง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน (PBOC)

ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัย อย่างพันธบัตรรัฐบาล เริ่มเผชิญแรงเทขาย ดังจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวขึ้นราว 10bps ขณะที่ นักลงทุนเลือกที่จะซื้อตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น อย่าง ตราสารหนี้ กลุ่ม HY และ EM

กองทุนอสังหาฯ ก็ได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และแนวโน้มนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของธนาคารกลางทั่วโลก โดยกองทุนอสังหาฯ ของไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยระดับยีลด์ราว 4.8% ซึ่งสูงกว่าบอนด์ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ประมาณ 1.54% ทำให้นักลงทุนยังคงสนใจที่จะลงทุนในกองทุนอสังหาฯไทย

ในส่วนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ (Crude Inventories) ที่ปรับตัวลดลงต่อกัน 3 สัปดาห์ และแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว

Economic Outlook

สัปดาห์นี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามก็คือ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งตลาดคาดว่า ECB จะประกาศลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.1% (โอกาสลด 0.1% อยู่ที่ 54% ส่วนโอกาสลด 0.2% อยู่ที่ 46%) และประกาศดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing) ครั้งใหม่ ด้วยวงเงิน 4.5 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้น เข้าใกล้เป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2%

นอกจากนี้ ควรติดตามประเด็นการเมืองของอังกฤษที่มีแนวโน้มจะเข้มข้นมากขึ้น หลังโอกาสที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรปโดยไร้ข้อตกลง (No Deal Brexit) ลดลงโดยคาดว่าสภาขุนนาง (House of Lords) มีแนวโน้มจะอนุมัติร่างกฎหมายป้องกันภาวะ No Deal Brexit ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสภาสามัญชน (House of Commons) ในสัปดาห์ผ่านมา แต่ความวุ่นวายของการเมืองก็อาจกลับมาได้ เพราะนายกฯ อังกฤษ Boris Johnson ก็พร้อมที่จะทำทุกทาง เพื่อให้อังกฤษออกจาก EU ในสิ้นเดือนตุลาคม ไม่ว่าจะมีดีลหริอไม่มีดีล ทำให้ ประเด็น Brexit จะสามารถกดดันให้ตลาดการเงินผันผวนขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในส่วนข้อมูลเศรษฐกิจ มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูสดใส หนุนโดยการขยายตัว 0.3%จากเดือนก่อนหน้า ของยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนสิงหาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Confidence) ที่จะปรับตัวขึ้น แตะระดับ 91จุด จากตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง และแนวโน้มที่จีนกับสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดโต้ะเจรจาการค้าอีกครั้งในเดือนหน้า

Theme of the Week

สัปดาห์นี้ มองว่าตลาดการเงินจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของ ECB หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้นทั่วโลกสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

อย่างไรก็ดี นักลงทุนก็ควรจะเลือกซื้อ หุ้นที่ราคายังไม่แพงจนเกินไป อย่าง ตลาดหุ้นจีน ด้วยระดับราคาซื้อ/ขายปัจจุบัน ที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับอดีตและตลาดหุ้นอื่นๆ นอกจากนี้ ในระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนยังมีแรงหนุนจากแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การอัดฉีดสภาพคล่องโดย PBOC รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนหุ้น A-Share บนดัชนีของ MSCI

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะในส่วนหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ก็มีความน่าสนใจในสัปดาห์นี้ และเปิดโอกาสทำกำไรในระยะสั้น เพราะ ECB มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลง พร้อมทั้งกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์แบบจัดชั้น (Tiering system) เพื่อลดผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยติดลบต่อสถาบันการเงิน ทำให้มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับมุมมองแนวโน้มผลกำไรหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินยุโรปไปในทางที่ดีขึ้น

แม้ว่า ตลาดจะเปิดรับความเสี่ยงได้ในระยะสั้น นักลงทุนก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะความไม่แน่นอนของสงครามการค้าอาจกลับมาปั่นป่วนตลาดการเงินได้ทุกเมื่อ อีกทั้งเศรษฐกิจโลกก็มีแนวดน้มชะลอตัวลงอย่างแน่นอนในระยะยาว ดังนั้น นักลงทุนควรรอจังหวะที่ ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ทองคำ หรือ บอนด์ ปรับตัวลดลง เพื่อเข้าซื้อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้

สำหรับมุมมองเราต่อ Asset Classes ต่างๆ มีดังนี้

Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าก็สามารถกดดันบรรยากาศการลงทุนได้ทุกเมื่อ นักลงทุนจึงควรลดสัดส่วนการถือครองหุ้น และเน้นรอโอกาสเข้าซื้อ หากตลาดมีการปรับฐานหนัก (Buy on Dip) เพื่อเลือกซื้อของถูก

US Equity: คงมุมมอง “Underweight” แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯยังดูดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่นักลงทุนต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อ/ขายกันในระดับราคาที่แพง (P/E 19.5เท่า) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา (P/E 17.9 เท่า) ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่นักลงทุนจะเทขาย หากตลาดมีการปรับฐาน

Europe Equity: คงมุมมอง “Neutral” ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้าและปัญหาการเมืองในยุโรป แต่เราเชื่อว่า หุ้นยุโรปจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางยุโรป ทั้งการลดดอกเบี้ย และโครงการซื้อสินทรัพย์ (QE)

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

Japan Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นเสมอ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Assets) ในช่วงตลาดผันผวน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี หุ้นญี่ปุ่นจะน่าสนใจมากสุด หากตลาดหุ้นปรับฐานหนัก เพราะ ราคาปัจจุบันของหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX Index) ที่ P/E 13.5 เท่า ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 17.5 เท่า (SD ของ P/E อยู่ที่ 4.1)

EM Equity: คงมุมมอง “Neutral” เพราะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ EM และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน EM อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นก็สามารถรีบาวด์ขึ้นได้ในช่วงสั้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของธนาคารกลางทั่วโลก

China Equity: คงมุมมอง “Overweight” โดยในระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มจะได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่คลี่คลายลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน (PBOC) และ การเพิ่มสัดส่วน หุ้นจีน A-Shares บนดัชนีของ MSCI อีกทั้งระดับราคาปัจจุบันของหุ้นจีน (P/E 14.4 เท่า) ถือว่าไม่แพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการทำกำไรที่สูง (ROE 13% เป็นรองแค่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ ROE 16%)

Thai Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงและทั้งปีจะโตได้เพียง 3%จากปีก่อน นอกจากนี้ ระดับราคาปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยถือว่าแพงมาก (P/E 19.3เท่า) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (P/E 17.1เท่า ) และหากเทียบความถูก/แพง กับตลาดหุ้นอื่นๆ ตลาดหุ้นไทยก็ถือว่าแพง แม้ว่าระดับราคาจะใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (P/E 19.5เท่า) แต่ความสามารถในการทำกำไรกลับด้อยกว่ามาก (ROE ของ SET อยู่ที่ 9.5% แต่ ROE ของ S&P500 อยู่ที่ 16%)

Fixed Income: คงมุมมอง “Overweight” เพราะตลาดบอนด์จะได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งการลดดอกเบี้ย หรือการซื้อสินทรัพย์ (QE) นอกจากนี้ ตราสารหนี้ก็ยังเป็นทางเลือกหลักในการพักเงินของนักลงทุนในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวน อย่างไรก็ดี ระดับยีลด์ปัจจุบันถือว่าแพงขึ้นจากช่วงต้นปี ดังนั้น นักลงทุนควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์เด้งขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบอนด์

Global Fixed Income: คงมุมมอง “Overweight” โดยมองว่าทั้งตราสารกลุ่ม HY และตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ (EM Debts) จะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเฟด นอกจากนี้ ยีลด์เฉลี่ยของบอนด์กลุ่ม HY ประมาณ 6.1% ถือว่าน่าสนใจ ส่วนยีลด์เฉลี่ยของกลุ่ม EM ปัจจุบันอยู่ที่ 3.9% น่าดึงดูดกว่ายีลด์ในฝั่งของตลาด DM และยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางใน EM

Thai Fixed Income: คงมุมมอง “Underweight”เพราะยีลด์บอนด์ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.6% ต่ำกว่า ยีลด์โดยเฉลี่ยจากบอนด์กลุ่ม EM ที่ระดับ 3.9% หรือ ยีลด์ของตราสาร HY ที่ 6.1% ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกที่ดีกว่าบอนด์ไทย

Alternative Assets: คงมุมมอง “Overweight” เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลก จะกดดันผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลให้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ส่วนต่างระหว่างยีลด์ของกองทุนอสังหาริมทรัพย์และบอนด์ยีลด์จากพันธบัตรรัฐบาลยังสูงเกินระดับ 2.6%-2.9% ซึ่งเป็นระดับที่ผู้จัดการกองทุนอสังหาฯ มองว่าราคากองอสังหาฯแพงไป และไม่น่าสนใจ อย่างไรก็ดีนักลงทุนต้องระวัง หากตลาดกลัวความเสี่ยงมากและไล่ขายสินทรัพย์เสี่ยง กองทุนอสังหาฯ ก็จะมีโอกาสโดนเทขายได้เช่นกัน

REITs/Infra.: คงมุมมอง “Overweight” โดยกองทุนอสังหาฯ ไทยยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความผันผวนของกองทุนอสังหาฯได้ เพราะกองทุนอสังหาฯให้ยีลด์ที่ระดับ 4.8% ซึ่งสูงกว่ายีลด์จากบอนด์ไทยราว 1.6%

Commodity: ปรับมุมมองจาก “Underweight” เป็น “Neutral” เพราะในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากความเสี่ยงสงครามการค้าที่ลดลง และอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯที่ยังคงสูงอยู่ แต่ในระยะยาวความต้องการน้ำมันจะกลับมาลดลง ตามภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปริมาณน้ำมันดิบก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าความต้องการ จากกำลังการผลิตน้ำมันในฝั่งสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Gold: คงมุมมอง “Overweight” เพราะข้อมูลในอดีตชี้ชัดว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ธนาคารกลางต่างใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อีกทั้งราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการซื้อสะสมของบรรดาธนาคารกลาง และนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงตลาดปั่นป่วน ดังนั้นการปรับฐานของราคาทองคำในระยะสั้นนี้ จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมทองคำ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (Buy on Dip)

ความคิดเห็นล่าสุด

บทความให้หลายมุมมองดี
บทความให้หลายมุมมองดี
บทความดีคะ ติดตามนะคะ
บทความดีคะ ติดตามนะคะ
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย