ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดประจำสัปดาห์ได้สูงกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาจากจุดต่ำสุดของเดือนธันวาคม
ผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 2 ปีปิดตลาดประจำสัปดาห์ได้สูงขึ้น ส่วนรุ่นอายุ 3 เดือนและ 10 ปีให้ผลตอบแทนลดลง รวมทั้งยังคงทำรูปแบบ Inversion กันอยู่
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง
ในช่วงที่สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงไม่มีความแน่นอน อย่างน้อยจนกว่าจะมีการเปิดการเจรจากันอีกครั้งในเดือนตุลาคม รวมทั้งในระหว่างที่ยังรอการตัดสินใจเกี่ยวกับ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ของเฟดที่จะมีขึ้นในเดือนนี้ ตลาดหุ้นยังน่าจะมีทิศทางที่ยังไม่แน่นอนต่อไปในสัปดาห์นี้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้เป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้ออกมาแถลงที่เมืองซูริคในช่วงก่อนวันสุดสัปดาห์ว่า นโยบายของเฟดจะยังเป็นการรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป แม้ว่าตัวเลข ปริมาณการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์จะต่ำกว่าเป้า ซึ่งก็อาจเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง
ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรยังปิดตลาดได้ลดลงกว่าเดิม ในขณะที่ ดอลลาร์ ปิดตลาดประจำสัปดาห์สูงกว่าจุดต่ำสุดที่เคยทำซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าคำพูดของประธานเฟดแทบไม่ส่งผลกับการคาดการณ์ของตลาดที่มีอยู่เดิมเลย
อุปทานและอุปสงค์ไม่สอดคล้องกัน?
เมื่อวันศุกร์ ดัชนี S&P 500 ยังปรับตัวขึ้นได้ 0.09% โดยหุ้นในกลุ่มต่างๆ ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าจะได้รับการตอบสนองในทางที่ดีจากทั้งปริมาณการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ต่ำกว่าเป้า รวมทั้งท่าทีการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของเฟด
ปริมาณการจ้างงานในภาคเอกชนที่ปรากฏออกมาว่าต่ำที่สุดในรอบสามเดือนซึ่งแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวแต่ยังไม่ใช่ความเสียหาย ประกอบกับท่าทีของนายพาวเวลล์ที่น่าจะมุ่งสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งน่าจะเป็นการส่งเสริมให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว แม้ว่าในวันศุกร์ดัชนี ดาว (+0.26%) จะปิดตลาดได้สูงขึ้นก็ตาม แต่ดัชนี NASDAQ คอมโพสิต (-0.17%) และดัชนี Russell 2000 (-0.47%) ก็ยังปิดตลาดได้ต่ำลง
ปัจจัยที่เป็นแรงหนุนให้ดัชนี S&P 500 ประจำสัปดาห์ปรับตัวขึ้นได้คือความคืบหน้าล่าสุดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ดัชนี S&P 500 ดีดตัวสูงขึ้น 1.79% โดยมีหุ้นใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมปิดตลาดได้ในแดนบวก หุ้นในกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือหุ้นกลุ่ม สินค้าฟุ่มเฟือย (+2.75%) และกลุ่ม เทคโนโลยี (+2.48%) ส่วนหุ้นในกลุ่ม สาธารณูปโภค (+0.37%) ตามมาเป็นอันดับท้าย
กราฟรายวันดัชนี S&P 500
หากพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคจะพบว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ยังไม่มีความแน่นอนของดัชนี S&P 500 เรายังคงอยู่ในช่วงขาลงเนื่องจากมีการสะสมตัวกันอยู่ใต้เส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาจากจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม
แต่อย่างไรก็ตาม ราคายังคงสามารถทะลุกรอบบนไปปิดสูงกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้นได้เป็นวันที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนวันสุดสัปดาห์ ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่าราคาจะปรับสูงขึ้นอีก ความยากของรูปแบบดังกล่าวก็คือการที่มันอยู่ในรูปสามเหลี่ยมขาขึ้น ซึ่งมีความหมายว่าน่าจะยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากปริมาณผู้ซื้อยังแซงหน้าผู้ขาย
แต่ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ด้วยว่าจะเป็นการเข้ามาขัดจังหวะเส้นแนวโน้มขาขึ้นก็เป็นได้ แม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ปรับลดลงไป 6.8% ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคมก็ตาม แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้น
ในอีกมุมหนึ่ง รูปสามเหลี่ยมขาขึ้นอาจวางตัวเป็นจุดต่ำสุดก็ได้ หลังจากที่ดีดตัวสูงขึ้นได้ 29% ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมเป็นต้นมา การปรับลดลง 6% ไปอยู่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดต่ำสุด บทสรุปก็คือ กลไกระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของตลาดในวันนี้ยังไม่สอดคล้องซึ่งกันและกัน
กราฟรายวันของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รุ่นอายุ 3 เดือน
ผลตอบแทนพันธบัตรต่างๆ ยังมีทิศทางที่ต่างกันไป พันธบัตรรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้นมาเป็น 1.54% หลังจากการแถลงของนายพาวเวลล์ในครั้งที่แล้วว่าเป็นเพียง “การปรับค่าในรอบระยะกลาง” อาจกลายมาเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายอีกครั้งจริงๆ ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ปรับลดลงไปเป็น 1.56%
ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 3 เดือน ปิดตลาดได้ที่ 1.964% ทำให้ยังคงเกิดรูปแบบ Inversion อยู่ต่อไป
กราฟรายวันดัชนีดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อวันศุกร์ ดอลลาร์สหรัฐปรับลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ แต่แม้กระนั้นก็ยังสามารถปิดตลาดได้สูงขึ้นกว่าค่าต่ำสุดของวันเป็นวันที่สอง ซึ่งแสดงให้เห็นแนวรับด้านล่างของกรอบราคาขาขึ้นที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ราคาน้ำมันรายวัน
ราคา น้ำมัน ยังปรับเพิ่มขึ้นได้เป็นวันที่สาม โดยมีแรงสนับสนุนจากความคาดหวังว่าสงครามการค้าจะเริ่มมีความคืบหน้า รวมทั้งเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาที่สามารถขึ้นไปสูงกว่าเส้นแนวโน้มขาลงซึ่งลากมาตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนและสามารถทำรูปแบบ shooting start ได้ในวันพฤหัสบดีต้องอ่อนแรงลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการยืนยันแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงนั่นเอง
กล่าวคือ ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มจะก่อตัวขึ้นมาให้เห็น โดยจะสังเกตได้จากเส้น 50 DMA และเส้น 2000 DMA ที่เริ่มจะหันเหสวนทางกันมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา