ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจเริ่มจะย่ำแย่ นักลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะโยกย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่าอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภค
สินทรัพย์ดังกล่าวเหล่านี้ถือว่ามีความปลอดภัยเนื่องจากยังสามารถรับประกันผลตอบแทนให้ได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบของเงินปันผล การแห่แหนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยในปีนี้มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ทำให้ทราบว่า สงครามการค้านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะถดถอยได้ในอีกไม่ช้า
หากคุณกำลังมองหาทางหนีทีไล่ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนเช่นนี้ หุ้นของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ทั้ง Walmart (NYSE:WMT) และ Target Corporation (NYSE:TGT) ต่างก็เป็นหุ้นที่เป็นตัวเลือกที่ดี
1. Walmart
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาในการเลือกหุ้นที่ปลอดภัยคือบริษัทมีความสามารถในการสร้างเงินสดหมุนเวียนได้ดีเพียงใดในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่และผู้บริโภคเริ่มจำกัดใช้จ่ายของตนเอง
สำหรับ Walmart ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้นักลงทุนหมดห่วงในเรื่องดังกล่าวได้เลย เพราะการที่บริษัทมีเครือข่ายคลังสินค้าขนาดใหญ่ มีอำนาจการต่อรองกับผู้ผลิตสูง และมีการพัฒนาการขายทางออนไลน์อย่างรวดเร็ว จึงตอกย้ำความเป็นหุ้นทีมีความมั่นคงและปลอดภัยสูงได้เป็นอย่างดี หลักฐานชิ้นสำคัญที่จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าบริษัทมีความแข็งแกร่งมากไม่ได้มีเพียงแต่ ผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ออกมาดีเกินคาดเท่านั้น แต่บริษัทยังเพิ่มตัวเลยรายได้ที่คาดการณ์สำหรับทั้งปีสูงขึ้นอีกด้วย ข้อมูลนี้จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าบริษัทค้าปลีกรายนี้ไม่ได้เป็นกังวลกับสภาพเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดการถดถอยเลยแม้แต่น้อย
กราฟราคาหุ้นของ Walmart
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุน Walmart ให้เติบโตได้ดีคือยอดขายจากผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นเสมือนปราการปกป้องความเสี่ยงจากสงครามการค้าให้กับ Walmart ได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ต้องรับอาหารส่วนใหญ่มาจากอเมริกาเหนือ
ด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งในตลาด สิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นปันผลก็คือความสามารถในการจ่ายเงินสดของบริษัทนั่นเอง Walmart มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีเยี่ยมมาโดยตลอด โดยตั้งแต่เริ่มประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1974 Walmart ก็ได้จ่ายเงินปันผลมากขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
ในอนาคตบริษัทก็ยังมีกำลังมากพอที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่อเนื่องไปได้อีกนาน สำหรับปี 2019 Walmart จ่ายเงินปันผลประจำปี $2.12 ต่อหุ้น จากรายได้สุทธิที่ปรับแล้วที่ $4.91 ต่อหุ้น ทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลใกล้เคียงกับระดับที่กำหนดไว้ที่ 40% หุ้นของบริษัทปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ $112.42 โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นมาแล้ว 19%
2. Target
หากใช้ปัจจัยเดียวกันกับ Walmart มาพิจารณาหุ้นของ Target ก็จะพบว่าหุ้นของ Target ก็มีความสามารถในการทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจขาลงได้ดีกว่าคู่แข่งไม่ต่างจาก หากพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่าหุ้นของ Target สามารถทำกำไรได้ดีกว่า Walmart ด้วยซ้ำไป โดยในปีนี้มีการปรับตัวขึ้นได้ถึง 58% ไปปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ $104.70 ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมา 14%
กราฟราคาหุ้นของ Target
ในช่วงไตรมาสหลังๆ นี้ แม้ว่าจะมีความกังวลในด้านมาตรการภาษีที่สหรัฐฯ กับจีนใช้โต้ตอบกันไปมาซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ต้นทุนสูงขึ้นและยอดขายแย่ลง แต่Target ก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีมากอยู่ Target รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่สองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสามารถทำยอดขายและกำไรสูงขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากความน่าสนใจของสินค้า ความสะดวก และราคาที่แข่งขันได้
นอกจากนี้บริษัทยังเพิ่มตัวเลขกำไรที่คาดการณ์ของปีนี้ขึ้นอีก โดยคาดว่าจะมีกำไรอยู่ที่ $5.90 ถึง $6.20 ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ $5.75 ถึง $6.05 ต่อหุ้น
จากการเติบโตที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องของบริษัท นักลงทุนที่ต้องการสะสมเงินจากหุ้นของ Target ก็จะได้รับเงินปันผลแต่ละปีสูงขึ้นด้วยเช่นกัน บริษัท Target มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีมาเป็นเวลา 48 ปีแล้ว โดยคงการจ่ายปันผลไว้ที่ระดับค่อนข้างเสี่ยงน้อยเฉลี่ยที่ 41.95% หากพิจารณาเงินปันผลต่อปีที่ $2.64 ต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนที่ระดับ 2.5% ต่อปี บริษัทน่าจะมีรายได้ประจำไตรมาสที่เพียงพอต่อการจ่ายปันผลรายไตรมาสที่ระดับ $0.66 ได้เกินสองเท่า
บทสรุป
การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงและไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลย แต่หากคุณต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้กับพอร์ตโฟลิโอโดยการถือหุ้นร่วมด้วยบ้าง หุ้นของ Walmart และ Target ก็จะเป็นตัวเลือกที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงและสร้างรายได้ที่มั่นคงแม้ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ได้