📊 ดูวิธีการที่นักลงทุนชั้นนำสร้างพอร์ตของพวกเขาค้นหาไอเดียการเทรด

3 หุ้นใหญ่ที่น่าจะได้รับผลกระทบหนักหากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรุนแรงขึ้น

เผยแพร่ 27/08/2562 13:43
AAPL
-

ไม่มีใครทราบว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะยุติลงเมื่อใด แต่ที่แน่ๆ คือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศต่างก็นำมาตรการทางภาษีออกมาตอบโต้กันอย่างดุเดือด ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่ายังไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้แก่กันเลยตลอดช่วง 2 ปีที่มีการเจรจากันมา

มาตรการทางภาษีบางมาตรการที่กำหนดให้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไปจะเกิดผลเสียกับบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ บางแห่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศจีน เพื่อเป็นการอธิบายถึงผลกระทบและความเสี่ยงที่จะเกิดกับบริษัทของอเมริกาให้ทราบมากขึ้น เราจะขอมุ่งเน้นไปที่หุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ 3 บริษัทดังนี้

1. Apple (NASDAQ:AAPL)

บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ไอโฟนอย่าง Apple (NASDAQ:AAPL) จะได้รับผลเสียจากการพิพาทระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจสองประเทศดังกล่าวเป็นอย่างมาก หลังจากที่จีนประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ว่าได้มีการวางแผนที่จะจัดเก็บภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ อีกจำนวน 75,000 ล้านเหรียญ หุ้นของ Apple ก็ร่วงลงไป 4.6%

AAPL Weekly TTM

ราคารายสัปดาห์ของหุ้น AAPL ในช่วง 12 เดือนล่าสุด

จีนเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของ Apple ซึ่งสร้างยอดขายให้กับบริษัทถึงเกือบ 52,000 ล้านเหรียญในช่วง ปีที่ผ่านมา ความกังวลเกี่ยวกับ Apple เริ่มก่อตัวมากขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม หลังจากที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี ทำให้เกิดความกลัวว่าจีนอาจจะพุ่งเป้ามาโจมตี Apple และบริษัทในเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานของบริษัทได้

ผลิตภัณฑ์หลักๆ ของ Apple น่าจะถูกเก็บภาษี 10% ภายในไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ด้วยเช่นกัน สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไอโฟน ไอแพด และแล็ปท็อปของ Apple จะยังได้รับการชะลอการเรียกเก็บภาษีไปจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม แต่กับสินค้าอย่าง Apple Watch, AirPods และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ยังอยู่ในแผนเดิมที่จะต้องถูกเรียกบเก็บภาษีในวันที่ 1 กันยายนนี้

จากการประชุมครั้งล่าสุดมีรายงานว่านายทิม คุก กรรมการบริหารของ Apple ได้แจ้งประธานาธิบดีทรัมป์ว่าหากผลิตภัณฑ์ของ Apple จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าแล้ว Apple ก็จะเสียเปรียบให้กับคู่แข่งสำคัญอย่าง Samsung (OTC:SSNLF) จากรายงานล่าสุด Goldman Sachs ได้นำเสนอสถานการณ์แย่ที่สุดที่อาจเป็นไปได้คือ ผลประกอบการของ Apple อาจได้รับผลกระทบถึง 29% หากจีนโต้ตอบสหรัฐฯ ด้วยการแบนไม่ให้ขายผลิตภัณฑ์ของ Apple

เราคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เนื่องจาก Apple มีการลงทุนในจีนในปริมาณสูงมาก หากมีการแบน Apple จริงก็จะเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจในท้องถิ่นด้วยเช่นกัน แต่หุ้นของ Apple มีสิทธิ์ที่จะอ่อนตัวลงได้หากปัญหาดังกล่าวยังคงไม่ได้รับการแก้ไข และอาจทำให้หุ้นของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ในปีนี้แล้วถึง 30% ต้องประสบปัญหาได้

2. Nike

หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ด้านกีฬาอย่าง Nike (NYSE:NKE) เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีความอ่อนไหวต่อการพิพาททางการค้าในครั้งนี้ค่อนข้างมาก และจะว่าไปแล้ว บริษัทก็ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทดังกล่าวไปแล้วเนื่องจากมีความกังวลว่าการจัดเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้แบรนด์ของบริษัทได้รับความเสียหาย รวมทั้งยอดขายก็อาจจะลดลงด้วย

NKE Weekly TTM

ราคารายสัปดาห์ของหุ้น NKE ในช่วง 12 เดือนล่าสุด

หลังจากที่หุ้นของบริษัทเคยพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดได้ที่ $90 ต่อหุ้นในเดือนเมษายน หุ้นของ Nike ก็ร่วงลงไปประมาณ 11% ตั้งแต่สหรัฐฯ กับจีนเริ่มโต้ตอบกันไปมาด้วยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของอีกประเทศหนึ่ง หุ้นของ Nike ก็ร่วงลงไปอีก 3.4% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจนไปปิดตลาดที่ระดับ $80.44

อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นได้ชัดว่าความเสี่ยงของบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทางด้านกีฬารายใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้ก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น เนื่องจาก Nike ได้มีการกระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของจีนในครั้งนี้น้อยลง

ผลิตภัณฑ์รองเท้าและชุดกีฬาราว 26% ของ Nike ในปีที่ผ่านมามีการผลิตจากประเทศจีน แต่รายงานจากกลุ่ม Susquehanna Financial ชี้ว่าสินค้าทั้งหมดดังกล่าวถูกนำเข้าไปยังสหรัฐฯ เพียงไม่ถึง 10%

ในช่วงที่มี การประชุมเพื่อรายงานผลประกอบการล่าสุด ผู้บริหารของ Nike ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงจากจีนเลย โดยได้กล่าวว่า จนถึงปัจจุบันสงครามการค้าไม่ได้ส่งผลกระทบกับ Nike เลยนับตั้งแต่บริษัทเริ่มรับผลิตภัณฑ์เข้ามาจากจีน จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า หุ้นของ Nike ไม่น่าจะสามารถต้านทานการเทขายที่จะเกิดกับหุ้นที่ได้รับความเสี่ยงจากประเทศจีนได้ รวมทั้งหุ้นของบริษัทก็อาจร่วงลงได้อีกหากสงครามการค้ายังคงมีความตึงเครียดอยู่ต่อไป

3. Caterpillar

หุ้นของบริษัทอุปกรณ์ก่อสร้างและทำเหมืองอย่าง Caterpillar (NYSE:CAT) ก็ได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าในครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากมีความกังวลว่าบริษัทจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางด้านการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากสงครามในครั้งนี้ได้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทปรับลดลงไปมากกว่า 3% ไปอยู่ที่ระดับ $114.06 โดยลดลงจากเดือนที่แล้วไปอีก 13%

CAT Weekly TTM

ราคารายสัปดาห์ของหุ้น CAT ในช่วง 12 เดือนล่าสุด

Caterpillar ได้เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีต้นทุนวัสดุเพิ่มสูงขึ้นได้ถึง 200 ล้านเหรียญในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรขนาดใหญ่รายนี้ได้วางแผนที่จะชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นส่วนใหญ่ด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้าของบริษัทในช่วงกลางปีนี้

แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็ไม่น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถหลีกหนีผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเป็นวงกว้างทั้งในสหรัฐฯ และจีนไปได้ หุ้นของบริษัท Caterpillar ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สื่อถึงสภาพเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี กำลังส่งสัญญาณออกมาว่าในปีนี้เศรษฐกิจทั่วโลกจะเกิดการชะลอตัวลงเร็วกว่าที่คิด และจะส่งผลกระทบกับยอดขายของบริษัทอย่างแน่นอน

จากรายงานผลประกอบการ ไตรมาสล่าสุด บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรขนาดใหญ่แห่งนี้กล่าวว่า ผลประกอบการในปี 2019 จากการคาดการณ์น่าจะลดลงต่ำสุดเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงขึ้น ประกอบกับยอดขายในเอเชียลดลง และการใช้จ่ายทางด้านน้ำมันและแก๊สในบริเวณเพอร์เมียนเบซินก็เริ่มชะลอตัวลงด้วย โดยรายได้จากจีนคิดเป็น 5-10% ของรายได้ทั้งหมดของ Caterpillar

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย