ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Verizon จะมุ่งเน้นที่การเลี่ยงความเสี่ยงเพื่อให้บริษัทเติบโต
-
ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 จะประกาศออกมาให้ทราบในช่วงก่อนเปิดตลาดวันที่ 1 สิงหาคม
-
รายได้ที่คาดการณ์อยู่ที่ 32,410 ล้านเหรียญ
-
กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์อยู่ที่ $1.2
ปัจจุบันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของบริษัทโทรคมนาคมอย่าง Verizon (NYSE:VZ) เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มหันไปหาธุรกิจบันเทิงไร้สายกันมากขึ้น ทำให้รายได้ในธุรกิจเคเบิลและสื่อต่างๆ ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น คู่แข่งในธุรกิจไร้สายก็มีส่วนทำให้บริษัทได้รับผลกระทบทางด้านรายได้ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนทำให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของ Verizon ที่จะ รายงาน ออกมาในวันพรุ่งนี้แย่ลงได้ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียกับหุ้นธุรกิจโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ รายนี้มาอย่างหนักมาตลอดในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้หุ้นตัวนี้ทำผลงานได้ค่อนข้างแย่กว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดในปีนี้ หุ้นของ Verizon ปรับตัวขึ้นเพียง 2% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ขึ้นทำลายสถิติสูงสุดและปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อวานนี้หุ้นของ Verizon ปิดตลาดลดลง 1.3% ไปอยู่ที่ $56.64
ในการที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้ได้ กลุ่มผู้เล่นในตลาดจำเป็นต้องงัดเอากลยุทธ์ต่างๆ ออกมาทดลองใช้ ตัวอย่างเช่น AT&T (NYSE:T) ได้ควบรวมกิจการกับ Time Warner ในปีที่แล้วด้วยการลงทุนกว่า 85,000 ล้านเหรียญเพื่อให้ตนเองเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมสื่อโดยฝากความหวังไว้กับบริการวิดีโอสตรีมมิงที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ T-Mobile U.S. (NASDAQ:TMUS) สามารถเข้าซื้อกิจการบริษัท Sprint ได้ การควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมธุรกิจไร้สายในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการลดจำนวนผู้เล่นในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ไปด้วยในตัว
แนวทางการเติบโตที่แตกต่างของ Verizon
Verizon เลือกที่จะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยแทนที่จะนำข้อตกลงธุรกิจขนาดใหญ่ต่างๆ ไปใส่รวมไว้ในงบดุล Verizon กลับเลือกที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในและปรับลดต้นทุนแทน นายฮานส์ เวสท์เบิร์ก ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัทพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าควบรวมกิจการกับบริษัทอื่นเหมือนอย่างที่ AT&T และ Comcast (NASDAQ:CMCSA) ได้ดำเนินการไป
แต่ Verizon เลือกที่จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการปรับปรุงคุณภาพของเครือข่ายมากกว่า จากการเข้าควบรวมกับกิจการของบริษัท Straight Path Communications ไปได้ในช่วงที่เหมาะสมในช่วงปีที่ผ่านมา Verizon จึงเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบเครือข่ายในยุคที่ 5 หรือที่เรียกว่า 5G ก่อนใคร ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความเร็วในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้อย่างกว้างขวางและยังเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สาย 5G เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญสำหรับแอปพลิเคชันหลายตัวในอนาคต เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบบ้านอัจฉริยะ หรือแม้แต่กระบวนการผ่าตัดทางไกล สิ่งต่างๆ ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Verizon กลายเป็นจ่าฝูงอย่างชัดเจนในขณะนี้
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Verizon ชิงเปิดตัวบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และบริการช่องโทรทัศน์ผ่านเทคโนโลยี 5G ใน 4 หัวเมืองใหญ่เพื่อใช้เป็นโครงการนำร่องของบริษัท และมีการวางแผนที่จะเปิดให้บริการบางส่วนในอีกกว่า 30 เมืองก่อนสิ้นปีนี้
วิธีการที่ช้าแต่มั่นคงเช่นนี้ไม่ได้เป็นกระแสโด่งดัง แต่ที่แน่ๆ คือสามารถช่วยให้บริษัทเติบโตต่อไปได้ ในช่วง ไตรมาสแรก หุ้นของ Verizon ขยับตัวขึ้นได้ 11% โดยมีรายได้สุทธิที่ 5,000 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามีรายได้อยู่ที่ 4,500 ล้านเหรียญ รายได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นราว 1% กลายเป็น 32,100 ล้านเหรียญ
ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับลดต้นทุนลงจำนวน 10,000 ล้านเหรียญให้ได้ภายในปี 2021 โดยในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 1 Verizon ได้ปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 3,000 ล้านเหรียญด้วยการเสนอโครงการเกษียณก่อนกำหนดและลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลง
บทสรุป
ผลประกอบการของ Verizon ที่จะประกาศออกมาในวันพรุ่งนี้อาจไม่ได้ทำให้นักลงทุนเกิดความสนใจที่จะซื้อหุ้นของบริษัทมากนักเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบัน แต่เรามองว่า Verizon ไม่ได้มีความเสี่ยงในสถานการณ์เช่นนี้เท่าใดนัก การที่บริษัทมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเติบโต มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีอัตราเงินปันผลที่ดีต่อเนื่อง Verizon จึงนับเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและค่อนข้างปลอดภัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือหุ้นระยะยาว