ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หลายคนที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตอย่างBitcoin และ Libra ของ Facebook โดยในกลุ่มผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นดังกล่าวมีนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์รวมอยู่ในนั้นด้วย
หลังจากที่เริ่มมีกระแสข่าวต่างๆ ออกมาในช่วงวันที่ 10 กรกฎาคม ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Bitcoin มีมูลค่าลดลงไปราว 30% ในสัปดาห์หลังจากนั้น
แม้ว่าจะมีการวิจารณ์ Bitcoin ในเชิงลบจากกลุ่มบุคคลสำคัญดังกล่าว แต่ก็ยิ่งเป็นการทำให้เงินคริปโตได้รับการยอมรับทางกฎหมาย รวมทั้งมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น
นายพาวเวลล์เรียก Bitcoin ว่าแหล่งเก็บมูลค่า
นายพาวเวลล์กล่าวถึงสกุลเงินคริปโตในขณะที่ทำการแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงิน โดยได้เริ่มพูดถึงเงิน Libra ของ Facebook เป็นอันดับแรกว่า “Libra ทำให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องความเป็นส่วนตัว การฟอกเงิน การป้องกันความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค รวมทั้งเสถียรภาพทางการเงิน”
นายพาวเวลล์ยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Bitcoin ไว้ด้วย รวมทั้งกล่าวว่าเงินคริปโตเป็นตัวเลือกตัวหนึ่งที่มักถูกนำมาใช้แทน ทองคำ และเรียกสิ่งนี้ว่า “แหล่งเก็บมูลค่าที่มีความเสี่ยง”
จากมุมมองของนายพาวเวลล์ Bitcoin เป็นแหล่งเก็บมูลค่าอย่างหนึ่งที่น่าจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดี แม้ว่าเขาจะใช้คำว่า “ที่มีความเสี่ยง” ก็ตาม Bitcoin จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่เป็นแหล่งเก็บมูลค่าได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมากพอและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายจนเป็นที่นิยมในสังคม การที่นายพาวเวลล์เปรียบเทียบ Bitcoin เป็นตัวเลือกที่เทียบเท่ากับทองคำก็ถือเป็นพัฒนาการที่ดีก้าวหนึ่งแล้ว
ทรัมป์ยังคงมีความกังขาแต่ก็ทำให้ Bitcoin ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ทรัมป์ก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Bitcoin และ Libra ผ่านทวิตเตอร์ของเขาด้วยเช่นกัน ในวันที่ 12 กรกฎาคม ประธานาธิบดีได้ทวิตข้อความว่าเขาไม่ได้เป็น “แฟนพันธุ์แท้ของ Bitcoin หรือสกุลเงินคริปโตใดๆ … ที่มีมูลค่าไม่แน่นอนเช่นนั้น” เขาเสริมว่า “สินทรัพย์ในรูปแบบเงินคริปโตอาจส่งเสริมให้เกิดพฤติการณ์ที่ไม่ถูกกฎหมายอย่างการค้ายาเสพติดได้”
มุมมองของประธานาธิบดีเช่นนั้นอาจทำให้เกิดผลเสียต่อการรับรู้ของสาธารณะเกี่ยวกับเรื่อง Bitcoin ว่ามีความเชื่อมโยงกับการค้ายาเสพติด การใช้คำพูดเช่นนี้อาจทำให้มีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกับสกุลเงินคริปโตและทำให้ความต้องการสกุลเงินคริปโตลดลงได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีขั้นตอนในการควบคุมตรวจสอบที่ชัดเจนในการถือครอง Bitcoin การทำให้สกุลเงินคริปโตอยู่ในความสนใจน่าจะเป็นการส่งเสริมมากกว่าการทำลาย เพราะยิ่งมีการเผยแพร่ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้ให้ได้รับความสนใจมากขึ้น และการเผยแพร่ผ่านทางทวิตของประธานาธิบดีก็เป็นวิธีหนึ่งที่ให้ผลดีมากเสียด้วย
ความคิดเห็นของนายมนูชินในประเด็นด้านความปลอดภัยอาจส่งผลเสียต่อ Bitcoin
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายมนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเงิน Bitcoin และ Libra โดยนายมนูชินมีท่าทีที่แข็งกร้าวยิ่งกว่าประธานาธิบดีด้วยซ้ำไป โดยเขาเรียก Bitcoin ว่าเป็น “ปัญหาทางด้านความปลอดภัยระดับชาติ” และกล่าวว่าสกุลเงินคริปโต “อาจถูกผู้ก่อการร้ายนำไปใช้ในทางที่ผิดได้”
แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลใดๆ ตามมาโดยทันที แต่การจัดว่า Bitcoin เป็น “ปัญหาทางด้านความปลอดภัยระดับชาติ” และเชื่อมโยงกับเรื่อง “ผู้ก่อการร้าย” มักจะเป็นวิธีที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมสิ่งที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ ในอดีตเราจะเห็นว่ารัฐบาลสามารถที่จะควบคุมและจำกัดเสรีภาพของประชาชนได้โดยการอ้างว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความปลอดภัยของประเทศ
บทสรุป
ความคิดเห็นด้านลบที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐออกมาพูดเกี่ยวกับ Bitcoin ในสัปดาห์นี้นั้นไม่ใช่ตัวบ่งชี้ใดๆ ที่แสดงว่ารัฐบาลกำลังวางแผนกำหนดมาตรการที่จะใช้กับสกุลเงินคริปโตแต่อย่างใด ต่างจาก Libra เพราะ Bitcoin จะยังมีชื่อเสียงในระยะสั้นๆ ต่อไปได้ เนื่องจากได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยไม่เจตนา
ในอนาคตจึงควรติดตามสถานการณ์ต่อไปว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับ Bitcoin ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายหรือความมั่นคงของชาติเนื่องจากมีผลเสียต่อการรับรู้ของสาธารณะค่อนข้างมาก แต่ด้วยธรรมชาติของเงิน Bitcoin ซึ่งไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลางทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มี “ประธานกรรมการบริหาร Bitcoin” มาเป็นผู้รับผิดชอบในสภา ซึ่งแตกต่างจากเงิน Libra การกระจายอำนาจการควบคุม Bitcoin ถือเป็นจุดแข็งข้อหนึ่งในการเป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่ดี
ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดเห็นในเชิงลบจากผู้ที่ยังมีความกังขาและต่อต้านเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้น่าจะพุ่งเป้าไปที่ Facebook (NASDAQ:FB) และ Libra เสียมากกว่า ไม่ใช่ Bitcoin เพราะ Bitcoin เป็นเพียงสิ่งที่ถูกพาดพิงจากนายพาวเวลล์และนายมนูชินเพียงเพื่อที่จะอธิบายถึงความกังวลในเรื่องเงิน Libra เท่านั้น ส่วนเรื่องของการกำหนดมาตรการที่จะนำมาใช้กับสกุลเงินคริปโตนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไป เพราะน่าจะเป็นเพียงเรื่องเดียวที่สามารถปรับลดมูลค่าของ Bitcoin ลงได้มากถึง 30%