หลังจากที่มีข่าวลือหนาหูมานานหลายเดือน Facebook (NASDAQ:FB) ได้เปิดตัว “ผลิตภัณฑ์” ล่าสุดที่เรียกว่า Libra ซึ่งเป็นสกุลเงินคริปโตออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ โดยมีข้อมูลใน เอกสารปกขาว ว่า
“พันธกิจของ Libra คือการเปิดให้ประชาคมโลกได้ใช้สกุลเงินเพียงสกุลเดียวได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่สามารถรองรับการใช้งานได้หลายพันล้านคน”
ถือเป็นการเปิดตัวที่ฟังดูค่อนข้างยิ่งใหญ่พอสมควร
1.จริงๆ แล้ว Libra คืออะไร?
พูดง่ายๆ Libra เป็นทั้งชื่อเหรียญและบล็อกเชนในตัวเองคล้ายๆ กับ Bitcoin นั่นเอง บล็อกเชนของ Libra จะบันทึกข้อมูลทางธุรกรมทั้งหมดของเหรียญและช่วยให้การชำระเงินระหว่างบุคคลทำได้ให้สะดวกขึ้น โดยการให้บริการโอนเงินที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
พันธกิจของ Libra เป็นพันธกิจที่ค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราประหยัด ไปจนถึงการเปิดให้บุคคลทั่วไปซึ่งไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารสามารถเข้าร่วมในระบบเงินดิจิทัลนี้ได้ โดยที่เหรียญชนิดนี้จะเป็นเหรียญแบบเสมือนที่ไม่ระบุตัวตน กล่าวคือ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ทำธุรกรรมจะไม่ถูกบันทึกข้อมูลไว้ในบล็อกเชน แต่เนื่องจากรัฐบาลมีการกำหนดรหัสสำหรับผู้ทำธุรกรรมทุกคน ดังนั้นหากมีความจำเป็น สมาคม Libra ก็จะสามารถติดตามข้อมูลผู้ใช้ได้ตลอดเวลา
2. Facebook จะได้ประโยชน์อะไร?
Facebook หวังว่าจะมีผู้คนหลายพันล้านคนที่อาจมีความสนใจใช้งานเงินสกุลนี้ โดยผู้ที่ต้องการใช้จะต้องลงทะเบียนเพื่อใช้งานกระเป๋าเงินคริปโตแบบ Calibra ที่จะผสานการทำงานเข้ากับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ทั้ง Facebook, Messenger และ WhatsApp วิธีนี้จะทำให้ Facebook สามารถใช้ Calibra เป็นเส้นทางหลักของผู้ใช้ในการเข้าถึงเงินของตนเองในบล็อกเชนนี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากเกิดขึ้นได้จริง บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่รายนี้จะสามารถทำการตลาดกับบริการทางการเงินที่หลากหลายได้อีกมาก โดยอาจมีจุดประสงค์หลักคือการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้ให้ได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะการเก็บข้อมูลก็เป็นจุดประสงค์หลักของ Facebook มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทให้คำมั่นว่า Calibra จะมี “การควบคุมความเป็นส่วนตัวที่สามารถจัดการได้อย่างสะดวกและง่ายดาย โดยจะมีรายละเอียดแจ้งให้ทราบว่ามีข้อมูลใดบ้างที่ถูกเก็บบันทึก ใช้ หรือแชร์ รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลดังกล่าวด้วย” นอกจากนี้ผู้ใช้ยังอาจเลือกใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของผู้ให้บริการรายอื่นได้เช่นกัน เพราะการใช้เงิน Libra ไม่ได้ผูกขาดอยู่กับ Facebook แต่เพียงผู้เดียว
3. Libra เป็น Bitcoin ตัวใหม่หรือเปล่า?
ถึงแม้ว่าทั้ง Libra และ Bitcoin จะต้องอาศัยการเข้ารหัสบล็อกเชนเหมือนกันก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย กล่าวคือ Bitcoin จะมีเป็นเงินที่ไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง, ปลอดภัยจากการเซ็นเซอร์ และไม่ต้องขออนุญาต ส่วน Libra ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนั้นยังต้องมีการควบคุมโดยสมาคม Libra อยู่
4. สมาคม Libra คือใคร?
สมาคม Libra คือกลุ่มผู้บริหารจัดการบล็อกเชน ซึ่งแต่ละรายคือผู้ที่เข้าร่วมถือโทเค็นการลงทุนใน Libra (ดังจะเห็นได้ในแผนภาพด้านล่าง)
ธุรกิจชั้นนำหลายแห่งของสหรัฐฯ อาทิ Mastercard (NYSE:MA) และ Visa (NYSE:V), Uber (NYSE:UBER) และ Lyft (NASDAQ:LYFT), Coinbase รวมทั้ง Facebook คือสมาชิกของสมาคมนี้ การตัดสินใจทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Libra จะถูกนำเข้าที่ประชุมของสมาคมโดยสมาชิกแต่ละคนจะมีคะแนนเสียง 1 เสียง ดังนั้นถึงแม้ว่า Facebook จะรับหน้าที่เป็นสื่อกลางของโครงการนี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ควบคุมแต่เพียงผู้เดียว
5. การใช้เงินนี้จะสร้างความยุ่งยากอย่างไรบ้าง?
ในช่วงแรกๆ นั้น ผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือทุกๆ องค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารต่างๆ, Western Union (NYSE:WU) หรือแม้แต่ Ripple เนื่องจากบล็อกเชนเป็นวิธีที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้ประสานงานคนกลางที่มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ในกรณีของ Libra ยังคงต้องอาศัยคนกลางอยู่ แต่ Libra ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมุ่งเน้นในการให้บริการกับธุรกิจโดยพยายามที่จะไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
6. เงินนี้สามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้หรือไม่?
จากข้อมูลในเอกสารปกขาว จะมีการเตรียมการเพื่อเปิดให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงิน Libra ด้วยสกุลเงินท้องถิ่นได้เมื่อเปิดให้บริการในปี 2020 ดังนั้นการซื้อขายสกุลเงินนี้ในตลาดจึงเป็นไปได้อย่างแน่นอน เงิน Libra ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นเงินที่มีเสถียรภาพหรือมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าจริงมารองรับเพื่อให้มีมูลค่าคงที่ โดยจะได้รับการรองรับจาก “สกุลเงินชั้นนำรวมทั้งหลักทรัพย์ของรัฐฯ” เพื่อทำให้เงิน Libra มีมูลค่าที่แท้จริงและสามารถป้องการกันการหมุนเงินและลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้
7. Libra จะส่งผลกระทบอย่างไรกับสกุลเงินคริปโตอื่นๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้?
Libra เป็นสกุลเงินคริปโตที่มีบริษัทใหญ่หลายแห่งให้การสนับสนุน แต่ก็ยังคงห่างไกลจากเงินในอุดมคติและมีอิสระอย่าง Bitcoin อยู่มาก แต่ Libra น่าจะสามารถดึงดูดคนจำนวนหลายพันล้านคนให้เริ่มมีความสนใจและเห็นคุณค่าของการโอนเงินผ่านบล็อกเชนได้มากขึ้น ซึ่งก็น่าจะส่งผลดีกับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่แน่นักเนื่องจากในขณะนี้ Libra ยังคงมีลักษณะคล้ายกับบริการของ PayPal (NASDAQ:PYPL) ที่อยู่บนหลักการของบล็อกเชนมากกว่าทีจะเป็นเงินคริปโตในแบบที่ทุกคนรู้จัก
8. โทเค็นการลงทุนในเงิน Libra คืออะไร?
นอกจากเงิน Libra ที่จะมีการนำออกมาให้ใช้ในเร็วๆ นี้แล้ว Facebook ยังมีโทเค็นความปลอดภัยที่จะเปิดตัวออกมาด้วยเช่นกันโดยจะมีชื่อเรียกว่า โทเค็นการลงทุนในเงิน Libra ซึ่งมีจุดประสงค์ในการให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการนี้ โดยจะมอบสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้ในรูปแบบของดอกเบี้ยที่ได้จากสินทรัพย์ที่ใช้สนับสนุนเงิน Libra โดยสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งโครงการนี้จะต้องลงทุนอย่างน้อยรายละ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะได้รับโทเค็นการลงทุนในเงิน Libra ในมูลค่าที่เท่ากันเก็บไว้
ด้วยการทุนที่มากถึงหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โครงการนี้น่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลจำนวนมากพอสมควรให้กับผู้ร่วมลงทุนได้ มีรายงานว่าโทเค็นเหล่านี้จะมีไว้เพื่อให้การรับรองกับผู้ร่วมลงทุนเท่านั้น และในความเป็นจริงแล้ว โทเค็นการลงทุนในเงิน Libra ยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีความชัดเจนในโครงการนี้ และยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ ออกมาว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรหรือจะเปิดให้เริ่มลงทุนได้เมื่อใด
บทสรุป
จากมุมมองทางด้านเทคโนโลยีและทางการเงิน เงิน Libra ก็น่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าตื่นเต้น เพราะไม่ใช่เพียงแต่เรื่องที่ Facebook จะหันมาพุ่งเป้าไปที่ระบบการชำระเงินทางอินเตอร์เน็ตผ่านเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเป็นความพยายามที่จะเปิดใช้สกุลเงินใหม่ของโลกที่ไม่ได้ทำมาเพื่อฝ่าฝืนการกำกับของหน่วยงานรัฐ เนื่องจากมูลค่าของโทเค็นก็ยังเป็นไปตามมูลค่าของสกุลเงินที่กำหนดโดยรัฐบาล
แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแห่งนี้กำลังพยายามดึงสมดุลอำนาจออกจากองค์กรรัฐ ปัจจุบัน Facebook ยังพยายามผลักดันให้เกิดโครงการเงิน Libra ต่อไป แต่ในขณะนี้ยังเป็นการเตรียมการในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ผลสุดท้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่อาจมีใครรับรองได้
ทางฝั่งของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เพราะเมือวานนี้ คณะกรรมาธิการเต็มสภาได้มี ข้อเรียกร้อง ให้ Facebook หยุดการพัฒนาโครงการเงิน Libra ไว้ชั่วคราว “จนกว่าสภาคองเกรสและฝ่ายนิติบัญญัติจะมีโอกาสหารือในเรื่องนี้และมีแนวทางปฏิบัติออกมาเสียก่อน"