โดย Ambar Warrick
Investing.com – ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ร่วงลงต่อเนื่องในวันจันทร์ เนื่องจากเทรดเดอร์ต่างออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเนื่องจากกลัวว่าอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ตลาดหุ้นในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวันได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยร่วงลงระหว่าง 2% ถึง 3% ส่งผลให้ขาดทุนต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีหุ้นบลูชิพ Nifty 50 ของอินเดียร่วงลง 1.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกงร่วงลง 0.5% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี
หุ้นในภูมิภาคร่วงลงอย่างหนักตามการถูกเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากท่าทีแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐฯ และหลังจากรายงานข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจในยุโรปและสหราชอาณาจักรที่อ่อนแอ
ธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเตือนว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรอาจอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 20 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของตลาดที่มีต่อความเสี่ยงนั้นต่ำลง ส่งผลให้หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง หุ้นที่มีความเสี่ยงสูงและตลาดสกุลเงินต่างปรับตัวลดลงอย่างมากในวันจันทร์
ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตที่ชะลอตัวในเอเชียยังคงมีอยู่ ธนาคารกลางจีนกล่าวว่าจะเพิ่มข้อกำหนดความเสี่ยงจากการสำรองเงินอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับสถาบันการเงิน ซึ่งค่าเงินจะแพงมากขึ้นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการขาย
ดัชนีหุ้นบลูชิพ CSI300 ของจีนร่วงลง 0.3% ในขณะที่ดัชนี เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ลดลง 0.8% ดัชนีทั้งสองมีการซื้อขายที่ระดับต่ำสุดในรอบห้าเดือน
ดัชนีนิคเคอิ 225 ของญี่ปุ่นลดลง 2.7% ซึ่งจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นเล็กน้อยในเดือนกันยายน แต่แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อสูงและเงินเยนที่อ่อนค่าลง
ภาคการผลิตของญี่ปุ่นยังเติบโตช้าที่สุดในรอบเกือบสองปี
ดัชนี SETI ของไทยมีผลงานแย่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยปรับตัวลดลง 0.9%
มูลค่าหุ้นเอเชียร่วงลงในปีนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ผลักดันเงินทุนออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง สภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาค ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเช่นกัน