โดย วณิชชา สุมานัส
Investing.com - บรรยากาศการลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย (SET) ในวันนี้ (9 กันยายน 2564) ตลาดปิดลบ 11.33 จุด แตะ 1,629.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 91.08 หมื่นล้าน ภาพรวมตลาดการลงทุนไทยของหลาย ๆ สินทรัพย์ในวันนี้ แกว่งในกรอบแคบ ๆ
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย บอกกับ Investing.com ว่า สาเหตุหลัก ๆ คือ คืนนี้ ตามเวลาในประเทศไทย จะมีการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งตอนนี้ Reuters Poll ระบุว่า 60% ของนักเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่าจะมีการส่งสัญญาณการทำ Tampering และการลดสภาพคล่องในการเข้าซื้อพันธบัตร ในขณะที่อีก 40% ยังเห็นต่าง
“แต่โดยส่วนตัวผมมองว่า จะมีการส่งสัญญาณคืนนี้” นายสรพลกล่าว
โดยคาดว่า หลังจากธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณในคืนนี้ มองว่าจะทำให้เห็นภาพไตรมาส 4 ปีนี้ รวมถึงไตรมาส 1 ปีหน้า เราอาจจะได้เห็น 3 ธนาคารกลางหลักของโลก ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางแห่งประเทสจีน (PBOC) ถอนสภาพคล่องออกพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาก่อนเลย และก็จะเป็นปัจจัยให้เกิด Upside ของตลาดหุ้นหลังจากนั้นด้วย
ทั้งนี้ ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นกระแสลงทุน (Fund Flow) ไหลเข้ามาในตลาด Emerging Market มากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการแข็งค่าเงินในตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่น ยูโร ประกอบกับเงินดอลลาร์ที่มีการอ่อนค่า ก็อาจจะเห็นเรื่องตรงนี้ชะลอลงได้ ดังนั้น ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า สิ่งที่ต้องจับตาคือธนาคารกลางยุโรปจะเป็นอย่างไร หรือธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะตัดสินใจอย่างไร จะเป็นปัจจัยและหัวใจสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อตลาดทุนในวันข้างหน้าอีกด้วย
“เรามองว่า กรอบของ ตลาดหุ้นไทย (SET) ซึ่งเป็นกรอบแนวต้านรายเดือนที่กำลังไต่ระดับไปเกือบ 1,660 จุด และมองว่าเป็น Upside จำกัด ส่วนแนวรับในเดือนนี้ เรามองไว้ที่ 1,610 จุด” นายสรพล กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ มองว่า สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 11.10 บาท ส่วนปัจจัยที่ทำให้หุ้นตัวนี้น่าสนใจคือ ถ้านับในแง่ของหุ้นกลุ่มพลังงาน 6 เดือนต่อจากนี้เป็นต้นไป น้ำมันดิบจากที่เคยมีสภาพ Deficit ก็จะกลายเป็น Surplus นับตั้งแต่ปลายปีนี้ และต้นปีหน้าเป็นต้นไป และเวลาที่น้ำมันดิบเปลี่ยนจาก Deficit เป็น Surplus ก็จะเริ่มกดให้ราคาน้ำมันลดลง เพราะซัพพลายของตลาดก็จะเข้ามาเรื่อย ๆ จากฝั่งของ OPEC ดังนั้น มองว่า ราคาน้ำมันดิบในปีหน้าน่าจะมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับตัวลดลง ซึ่งการลดลงของราคาน้ำมันจะไปกดดันหุ้นกลุ่มต้นน้ำให้ได้รับผลกระทบ เพราะอิงกับต้นน้ำเยอะ ส่วนอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องของราคาน้ำมันดิบที่จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงคือ โรงกลั่น
นอกจากนี้ SPRC ยังถือว่าเป็นหุ้นที่ปรับตัวสูงที่สุด นอกจากจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางซาอุดิอาราเบีย มีการประกาศปรับ OST Premeum สำหรับการส่งมาที่ภูมิภาคเอเชียลดลง ไปประมาณ 1-1.3 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตรงนี้ก็จะเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตด้วย หากมองมาทางบ้านเราจะพบว่า ถ้าใครใช้น้ำมันดิบจากทางตะวันออกกลางมาก ๆ ก็จะได้ประโยชน์จากการที่ต้นทุนก็จะต่ำลงมาก ๆ ด้วย
ดังนั้น SPRC จึงเป็นโรงกลั่นแห่งเดียวในเมืองไทยที่ใช้น้ำมันดิบจากทางตะวันออกกลางในปริมาณที่สูงมาก โดยคาดการณ์ว่า ค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไปจะเริ่มฟื้นตัว โดยมองว่า ค่าการกลั่นน่าจะอยู่ที่ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับปีหน้าจะอยู่ที่ 5 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น ราคาเป้าหมายน่าจะอยู่ที่ 9 บาทต่อหุ้นได้
สำหรับราคาหุ้น SPRC วันนี้ ซื้อขายกันที่ 9.10 บาทต่อหุ้น ราคาเพิ่มขึ้น 0.050 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.55% เปิดตลาดวันนี้ ซื้อขายกันที่ 9.25 บาทต่หุ้น สูงสุดที่ 9.40 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดที่ 9.05 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 38.59 พันล้านบาท
สำหรับตัวอื่น ๆ ที่น่าสนใจคือ มองว่าหุ้นทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM) ราคาเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 10-10.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยที่ดีขึ้น จะเห็นได้ว่ามีการเริ่มเปิดเมืองทั้งในกรุงเทพและปริมณทล และจะพบว่า การเดินทางในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน คนส่วนมากเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้ากันพอสมควรแล้ว ซึ่งจากภาพในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่า คนเริ่มหันมาใช้ทางด่วน และเลี่ยงรถไฟฟ้าเพราะยังกลัวเรื่องของโรคระบาดอยู่บ้าง
สำหรับหุ้น BEM ซื้อขายกันที่ 8.30 บาทต่อหุ้น ราคาลดลง 0.100 บาท หรือลดลง 1.19% เปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 8.35 บาทต่อหุ้น สูงสุดอยู่ที่ 8.45 บาทต่อหุ้น ต่ำสุดที่ 8.25 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าการซื้อขายวันนี้ที่ 129.92 พันล้านบาท
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ทางด่วนจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าขนส่งสาธารณะ เนื่องจากประชาชนยังมีความกังวลในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามขนส่งสาธารณะ ดังนั้น ประชาชนจึงนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งปริมาณการใช้ทางด่วนตอนนี้มองว่า ถ้านับในแง่ของเดือนต่อเดือน จะอยู่ราว 10-20% ซึ่งหุ้นกลุ่มรถไฟฟ้านี้จะมี Re-opeing ที่เร็วกว่าหุ้นสายโรงแรมหรือการท่องเที่ยว หรือกลุ่มค้าปลีกเยอะมาก ดังนั้น BEM จะมี Downside จำกัดและสามารถเก็งกำไรได้
นอกจากนี้ ในประเด็นของศาลปกครองที่จำหน่ายคดีไปแล้วเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม) ก็มีการประกาศเดินหน้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มด้วยเงื่อนไขใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็น Upside Sentiment ให้กับหุ้นรถไฟฟ้า BEM อีกด้วย หากว่าชนะประมูลสายสีส้มไป ก็จะได้งานทั้งก่อสร้างและเดินระบบ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 120,000-130,000 ล้านบาทไปเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กับ BEM ก็จะได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน
สำหรับหุ้น ช.การช่าง จำกัด (CK) วันนี้ ซื้อขายกันที่ 19.80 บาทต่อหุ้น ราคาลดลง 0.10 หรือ 0.50% เปิดตลาดวันนที่ 19.80 บาทต่อหุ้น สูงสุดอยู่ที่ 19.90 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดอยู่ที่ 19.60 บาทต่อหุ้น มูลค่าการตลาดอยู่ที่ 33.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ