InfoQuest - ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (8 พ.ย.) และปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังจากจีน รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการเก็บภาษีศุลกากรของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 506.63 จุด ลดลง 3.29 จุด หรือ -0.65%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,338.67 จุด ลดลง 86.93 จุด หรือ -1.17%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,215.48 จุด ลดลง 147.04 จุด หรือ -0.76% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,072.39 จุด ลดลง68.35 จุด หรือ -0.84%
กลุ่มหุ้นที่พึ่งพาตลาดจีน เช่น กลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มสินค้าหรูหรา ร่วงลงมากกว่า 3% ขณะที่กลุ่มต่าง ๆ ส่วนใหญ่ปรับตัวลง ยกเว้นหุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มเฮลท์แคร์
จีนเปิดเผยมาตรการก่อหนี้มูลค่า 10 ล้านล้านหยวน (1.40 ล้านล้านดอลลาร์) ในวันศุกร์ ซึ่งทำให้นักลงทุนผิดหวังเพราะคาดหวังมาตรการกระตุ้นที่มากกว่านี้ โดยส่งผลกดดันราคาโลหะลงและฉุดหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง อาทิ หุ้นริโอ ทินโต (Rio Tinto) และหุ้นเกล็นคอร์ (Glencore)
หุ้นริชมอนด์ (Richemont) เจ้าของแบรนด์เครื่องประดับคาร์เทียร์ (Cartier) ร่วงลง 6.6% หลังรายงานยอดขายลดลง 1% ในช่วง 3 เดือนจนถึงสิ้นเดือนก.ย.
หุ้นสินค้าหรูของฝรั่งเศสส่วนใหญ่ลดลงเช่นกัน โดยหุ้นหลุยส์วิตตอง (LVMH) ร่วง 3.3% และหุ้นเคอริง (Kering) ร่วง 8%
ดัชนี STOXX 600 ปิดลบ 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนประเมินแนวโน้มของการเก็บภาษีศุลกากรหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งหลังชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อต้นสัปดาห์นี้
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นวิสทรี (Vistry) ร่วงลง 15.5% หลังจากบริษัทสร้างบ้านรายใหญ่ที่สุดของอังกฤษประกาศเตือนเกี่ยวกับผลกำไรทั้งปีเป็นครั้งที่สองในรอบหนึ่งเดือน
หุ้นไอเอจี (IAG) เจ้าของสายการบินบริติชแอร์เวย์ พุ่งขึ้น 7.2% สวนทางตลาด หลังจากรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานรายไตรมาสเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้