สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า วันนี้จีนได้จัดหุ้นในดัชนีเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ทว่าหลายฝ่ายมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่มากพอที่จะรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจีนที่ถูกรบกวน ซึ่งตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก
ดัชนี Shanghai Composite Index (SSEC), ซึ่งเป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดของจีนสำหรับหุ้น A-share ได้เพิ่มหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในกระดานหุ้น STAR อีก 25 หุ้น และลบบริษัทกลุ่มเสี่ยงอีก 91 บริษัท จึงส่งผลให้จำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนีเหลือเท่ากับ 1,493 หุ้น
ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า การกระทำครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหา "ความเคลื่อนไหวของดัชนีที่ถูกรบกวน" โดยระหว่างปี 2009 ถึงปี 2019 ตัวเลข GDP รายปีของจีนเติบโตขึ้นเกือบสามเท่า แต่ดัชนี SSEC ซึ่งตามหลักแล้วเป็นดัชนีที่ชี้วัดสภาพทางเศรษฐกิจสำคัญกลับมีมูลค่าตามราคาตลาดราว 5.45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงไป 7% ขณะที่ดัชนีบลูชิพ CSI300 (CSI300) ทะยานขึ้น 15% และดัชนี Shenzhen (SZSC) พุ่งขึ้น 43%
Liu Wencai ผู้ก่อตั้ง D-Union ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า "การจัดหุ้นใหม่ครั้งนี้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้" และ "หากคุณต้องการใช้ไม้บรรทัดวัดโต๊ะ ทำไมคุณถึงเลือกใช้ไม้บรรทัดที่เบี้ยวมาวัด"
ภายหลังจากการจัดดัชนีที่เกิดขึ้น นักวิเคราะห์หลายท่านก็ยังชี้ให้เห็นถึงการรบกวนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นใน SSEC ที่ยังคงขึ้นอยู่กับมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นทั้งหมด แทนที่จะเป็นมูลค่าของหุ้นที่ซื้อขายได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าดัชนีจะได้รับผลกระทบจากหุ้นที่ซื้อขายไม่ได้ในบริษัทของรัฐ อาทิ China Construction Bank (SS:601939) และ Sinopec (SS:600028).
Rocky Fan นักเศรษฐศาสตร์จาก Sealand Securities ชี้ว่า "เมื่อเทียบกับบริษัทของรัฐ เช่น ธนาคารต่าง ๆ แล้ว หุ้นที่สามารถซื้อขายได้นั้นมีอัตราส่วนเพียงน้อยนิด"