Investing.com - สามประเด็นหลักที่น่าสนใจประจำวันนี้มีดังต่อไปนี้
1. คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกกับดัชนีภาคการผลิตของฟิลาเดลเฟียจะลดลง
กรมแรงงานสหรัฐฯ จะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่สิ้นสุดก่อนวันที่ 15 มิถุนายน นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านคาดการณ์ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก จะลดลงจาก 222,000 ราย เหลือ 220,000 ราย
และสำนักงานเฟดประจำนครฟิลาเดลเฟียจะรายงานตัวเลขภาคการผลิตของภูมิภาคในเวลา 8:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (12:30 GMT)
ดัชนีภาคการผลิตของฟิลาเดลเฟีย คาดว่าจะลดลงจากเมื่อเดือนที่แล้ว 16.6 เหลือ 10.6 เนื่องจากการดำเนินงานในภาคการผลิตได้รับแรงกดดันอย่างมาก จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังคงดำเนินต่อไปในขณะนี้
2. ธนาคารกลางอังกฤษล้มเลิกแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตลาดส่วนมากคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษจะ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิม เมื่อวานนี้ จากที่ความคลุมเครือของสถานการณ์ Brexit ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษมีทางเลือกไม่มากนัก
เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่านายบอริส จอห์นสัน จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ฉะนั้นบรรดานักวิเคราะห์จึงค่อนข้างมั่นใจว่าสหราชอาณาจักรจะต้องถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลงอย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นจริง จะถือเป็นการบีบบังคับธนาคารกลางอังกฤษให้เลื่อนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก แม้ว่าสมาชิกธนาคารกลางบางท่านจะเรียกร้องให้มีการบังคับใช้นโยบายที่เข้มงวดยิ่งขึ้นก็ตาม จากที่อัตราค่าจ้างในประเทศเพิ่มขึ้นและอัตราว่างงานที่ลดลง
Citigroup (NYSE:C) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า "เราเชื่อว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคมหรือแม้แต่ภายในปีนี้ เนื่องจากการถอนตัวโดยไม่มีข้อตกลงอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงประการใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้กระแสการใช้นโยบายทางการเงินที่อะลุ่มอล่วยของธนาคารกลางทั่วโลก"
3. Kroger เตรียมรายงานผลประกอบการ
บริษัทผู้ค้าปลีก Kroger เตรียมรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในวันนี้ก่อนเวลาตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิด
คาดว่า Kroger Company (NYSE:KR) จะรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ $0.71 ต่อหุ้น คาดว่าจะมีรายได้ 3.727 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่ายอดขายสาขาเดิมจะเพิ่มขึ้น 1.7%
ที่ผ่านมา Kroger พยายามเร่งลงทุนในกิจการร้านค้าและธุรกิจดิจิทัลเพื่อที่จะได้อยู่ในตำแหน่งที่ทัดเทียมกับ Amazon โดยหุ้นของ Kroger ในปีนี้ได้มีราคาลดลงไป 14% และจมดิ่งลงไปหนักกว่าเดิมภายหลังจากผลประกอบการรายไตรมาสที่สี่เมื่อเดือนมีนาคมออกมาน่าผิดหวังเกินคาด