InfoQuest - ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในวันนี้ ขณะนักลงทุนจับตาการเจรจาเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 20.44 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,226.83 จุด ลบ 73.79 จุด หรือ 0.22%
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ แสดงความเชื่อมั่นว่า ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะสามารถบรรลุข้อตกลงการขยายเพดานหนี้วงเงิน 31.4 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนกล่าวว่า เขาจะพบปะกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ รวมทั้งผู้นำของสภาคองเกรสในวันพรุ่งนี้ เพื่อเจรจาเป็นครั้งที่ 2 เกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ หลังจากที่การเจรจาครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วไม่ประสบความคืบหน้าแต่อย่างใด
ปธน.ไบเดนกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่าทำเนียบขาวและสภาคองเกรสสหรัฐจะสามารถหาทางออกเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ และได้ยืนยันว่าเขาจะเดินทางไปยังญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G7 ในสัปดาห์นี้ จากเดิมที่เขากล่าวว่าอาจต้องยกเลิกการเดินทาง เนื่องจากติดภารกิจในการเจรจาเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ
นายแมคคาร์ธีระบุว่าการเพิ่มเพดานหนี้จะต้องแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลยอมปรับลดงบประมาณรายจ่าย ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ปธน.ไบเดนไม่สามารถยอมรับได้ โดยระบุว่าการเพิ่มเพดานหนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้
อย่างไรก็ดี ปธน.ไบเดนเห็นพ้องว่าการเจรจาปรับลดงบประมาณรายจ่ายสามารถเกิดขึ้นได้ในการเจรจาที่แยกต่างหากออกไป แต่จะต้องไม่ผูกโยงเข้ากับการเพิ่มเพดานหนี้
ด้านนางเยลเลนแสดงความเชื่อมั่นเช่นกันเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้สหรัฐ
"ดิฉันมีความหวัง ขณะที่การเจรจายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยดิฉันได้รับแจ้งว่าทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นพ้องกันในบางประเด็นแล้ว" นางเยลเลนกล่าวจากญี่ปุ่นในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G7
หากทำเนียบขาวและสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ภายในวันที่ 1 มิ.ย. ก็จะส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวลเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนา Thomas Laubach Research Conference ว่าด้วยนโยบายการเงิน ซึ่งเฟดจะจัดขึ้นในวันศุกร์นี้ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายจะเข้าร่วมงานเสวนาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงนายเบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2550
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 10 ติดต่อกันนับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.00%
นอกจากนี้ เฟดส่งสัญญาณยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ด้วยการยกเลิกประโยคที่เคยระบุในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ที่ว่า "คณะกรรมการเฟดคาดการณ์ว่าการคุมเข้มนโยบายเพิ่มเติมอาจมีความเหมาะสม" เพื่อให้เฟดบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย และต้องใช้เวลากว่าจะปรับตัวลง เฟดจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีความเหมาะสมในขณะนี้