InfoQuest - ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร (2 พ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐ รวมทั้งความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ และความเสี่ยงที่สหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,684.53 จุด ร่วงลง 367.17 จุด หรือ -1.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,119.58 จุด ลดลง 48.29 จุด หรือ -1.16%, และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,080.51 จุด ลดลง 132.09 จุด หรือ -1.08%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนัก โดยดัชนี KBW Regional Banking Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาค ดิ่งลง 5.5% ซึ่งปรับตัวลงเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ปีนี้ หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐได้เข้าควบคุมกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) และเปิดทางให้เจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการของ FRB
ขณะที่ดัชนี S&P500 Banking Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารที่คำนวณใน S&P500 ดิ่งลง 2.3% โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.59% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.1% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.87% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 3%
นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า ภาคธนาคารของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเปราะบางมากขึ้น แม้เจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการ FRB
"การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำไปเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาคธนาคารอ่อนแอลง และคาดว่าผลกระทบนั้นยังไม่หมดสิ้น การที่เจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการ FRB ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีบัตรผ่านเสมอไป และไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เผชิญกับภาวะเปราะบางเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต" นางกอร์เกียร์วากล่าวในที่ประชุม "2023 Milken Institute Global Conference" ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่นานหลังจากเจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการ FRB ในวันจันทร์ที่ผ่านมา
คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุมในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
ทางด้านซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ และจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. ซึ่งสวนทางการคาดการณ์ของตลาดที่ว่าเฟดจะยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังผ่านพ้นการประชุมในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 1 มิ.ย. หากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนเส้นตายในวันดังกล่าว
ทั้งนี้ การคาดการณ์ของนางเยลเลนเกี่ยวกับกำหนดเส้นตายของการผิดนัดชำระหนี้นั้น เร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ โดยโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ล่าสุดว่ารัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในช่วงปลายเดือนก.ค.
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 5% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 4.3% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทรุดลง 8.26% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 3.79%
หุ้นไฟเซอร์ ปิดตลาดขยับลง 0.38% หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นในระหว่างวัน ขานรับกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.23 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.97 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 1.83 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกเหนือจากผลการประชุมเฟดแล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนเม.ย.จาก ADP และดัชนีภาคบริการเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), วันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดุลการค้าเดือนมี.ค. ส่วนในวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.