Investing.com - ภาพรวมของห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
1. จับตาธนาคารกลางทั่วโลก
ในวันพุธนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะเผยแพร่ รายงานการประชุม ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งระบุว่าเฟดจะพักการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายไปก่อนหลังจากลดอัตราดอกเบี้ยมาสามครั้งติดกันแล้ว และเฟดได้ชี้แจงด้วยว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นมีจุดประสงค์เพื่อเป็นมาตรการป้องกันเพื่อต่อกรกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัญหาทางการเมือง และความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางการค้า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วประธานเฟด นายเจอโรม เพาเวลล์ ได้ให้คำกล่าวต่อหน้าคณะกรรมการสภาสหรัฐฯ และเน้นย้ำว่าเฟดจะงดใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายไปก่อน ส่วนในสัปดาห์นี้ประธานเฟดประจำนิวยอร์ก นายจอห์น วิลเลียมส์, ประธานเฟดประจำคลีฟแลนด์ นางลอเร็ตตา เมสเซอร์ และประธานเฟดประจำมินนิอาโปลิส นายนีล คัชคารี ล้วนมีกำหนดการให้คำกล่าว โดยตลาดจะคอยจับตาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการค้า
ทางด้านธนาคารกลางยุโรปก็จะเผยแพร่ รายงานการประชุม ครั้งล่าสุดในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของประธานธนาคารกลางยุโรป นายมาริโอ ดรากี และผู้สืบทอดตำแหน่งประธานธนาคารกลางยุโรปคนต่อไป นางคริสทีน ลาการ์ด ก็จะมีกำหนดการให้คำกล่าวในวันศุกร์นี้
2. ความคืบหน้าของสถานการณ์ทางการค้า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เด้งกลับขึ้นมาในวันนี้ โดยดัชนี Dow แตะระดับ 28,000 เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ หลังจากที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว นายแลร์รี คุดโลว์ เผยว่าจีนและสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้การสรุปข้อตกลงแล้ว อันจะเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามทางการค้าที่กินเวลามาตลอด 16 เดือน
และสำนักข่าวซินหัวซึ่งเป็นสำนักข่าวประจำชาติจีนได้รายงานเมื่อวานนี้ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ "เจรจากันอย่างสร้างสรรค์" เกี่ยวกับประเด็นทางการค้าขั้นสูงผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ แต่ยังไม่มีการระบุช่วงเวลาที่อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการทำข้อตกลงกันแต่อย่างใด
3. ข้อมูลทางเศรษฐกิจ
ในสัปดาห์นี้ตลาดจะจับตาดัชนี PMI จากญี่ปุ่น ยูโรโซน และสหรัฐฯ ที่จะรายงานออกมาในวันศุกร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญที่จะบ่งชี้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เห็นได้จากดัชนี PMI ที่ออกมาเมื่อเดือนตุลาคมที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น และการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็ได้มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น
ในวันพฤหัสบดี ทางการสหรัฐฯ จะรายงานยอดขายบ้านมือสอง รวมทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกและต่อเนื่อง
และรายงานเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปกับ Bundesbank ก็มีกำหนดการรายงานในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
4. การรายงานผลประกอบการของธุรกิจการค้าปลีก
Home Depot (NYSE:HD), Kohl's (NYSE:KSS), Urban Outfitters (NASDAQ:URBN), Target (NYSE:TGT), Macy’s (NYSE:M) และ Gap (NYSE:GPS) จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้หลังจากใกล้เข้าสู่โค้งสุดท้ายของฤดูกาลรายงานผลประกอบการ โดยข้อมูลจาก Refinitiv ที่คำนวณจากผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในดัชนี S&P 500 ทั้งหมด 458 บริษัทเผยว่า ผลประกอบการทั้งหมดหดตัวลงไป 0.4% จาก Q3 ของเมื่อปี 2018
บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ค้าปลีกและจัดจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ Amazon (NASDAQ:AMZN) เป็นตัวแปรสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่คิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจของประเทศนั้นยังคงจับจ่ายสินค้าอยู่หรือไม่ แม้ตัวเลขภาคการผลิตจะย่ำแย่และอัตราการจ้างงานจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
ตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการของ Amazon ในฤดูกาลท่องเที่ยวที่ออกมาอ่อนแอได้สร้างความกังวลให้แก่ตลาดว่า สงครามทางการค้าได้ส่งผลกระทบต่อแวดวงธุรกิจการค้าปลีกในสหรัฐฯ อย่างแท้จริง
5.Alibaba จะกำหนดราคาหุ้นก่อนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
บริษัทอีคอมเมิร์ซจีนยักษ์ใหญ่ Alibaba (NYSE:BABA) เตรียมกำหนดราคาหุ้นให้กับการจดทะเบียนเป็นครั้งที่สองในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหลังเวลาตลาดสหรัฐฯ ปิด ซึ่งคาดไว้ว่าบริษัทจะระดมทุนได้ถึง 1.34 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
การขายหุ้นของบริษัทครั้งนี้ซึ่งจะเป็นการขายหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดของฮ่องกงในระยะเวลานานกว่าเก้าปี จะเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศอู่ข้าวอู่น้ำของตลาดการเงินโลกแม้เหตุการประท้วงจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม
Alibaba ยังคงเป็นผู้รักษาสถิติการทำ IPO ครั้งใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2014 ที่ระดมทุนในนิวยอร์กได้ถึง 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ