👁 ค้นพบหุ้นชนะตลาดเหมือนกับนักลงทุนมือโปรด้วยข้อมูลเชิงลึกจาก AI มหกรรมลดราคา Cyber Monday จะหมดเขตเร็ว ๆ นี้!รับส่วนลด

5 ปัจจัยที่ต้องจับตา: การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง

เผยแพร่ 30/10/2565 19:36
© Reuters
US500
-
MSFT
-
LLY
-
GOOGL
-
QCOM
-
AMZN
-
COP
-
META
-
GOOG
-

โดย Noreen Burke

Investing.com -- ธนาคารกลางสหรัฐน และ ธนาคารกลางอังกฤษ ต่างมั่นใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 จุดในวันพุธและพฤหัสบดีตามลำดับ เนื่องจากการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องยังคงดำเนินต่อไป แต่ด้วยนักลงทุนที่เริ่มมองเห็นสัญญาณว่าการใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกอาจเริ่มชะลอลง รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์สำหรับเดือนตุลาคมและรายงานเงินเฟ้อของยูโรโซนในวันจันทร์จะอยู่ในความสนใจ และฤดูกาลประกาศผลประกอบการที่มาได้ครึ่งทางแล้วจะแสดงให้เห็นว่าหุ้นของสหรัฐจะมีผลประกอบการที่น่าผิดหวังต่อไปได้หรือไม่ นี่ 5 คือสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเริ่มต้นสัปดาห์การลงทุน

  1. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าจะเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกินมาตรฐาน 75 จุดเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกันหลังการประชุม ในวันพุธ

นักลงทุนจะมองหาสัญญาณจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะชะลอตัวลงหรือไม่ หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

ตลาดการเงินคาดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 จุดในการประชุมธันวาคมของเฟดและอีก 50 จุดในการประชุมสองครั้งแรกของปีหน้า

แต่การเดิมพันกับเฟดว่าจะชะลอการดำเนินนโยบายเชิงรุกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงในปีนี้ หุ้นดีดตัวขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากระดับต่ำ แต่จะถูกกดดันให้ต่ำลงอีกครั้งโดยอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องและการตึงตัวของการเงินในเชิงรุก

  1. ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

โทนเสียงของการแถลงข่าวของเฟดในวันพุธและรายงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ประจำเดือนตุลาคมของสหรัฐในวันศุกร์จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้นักลงทุนตั้งความคาดหวังก่อนการประชุมในเดือนธันวาคมของธนาคารกลางสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดว่ากระทรวงแรงงานจะรายงานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงาน 200,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว เทียบกับ 263,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน ขณะที่การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงต่อปีก็คาดว่าจะลดลงเช่นกัน

ข้อมูลในวันศุกร์แสดงให้เห็นว่า ค่าแรงของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่สาม แต่การเติบโตของค่าจ้างภาคเอกชนชะลอตัวลงอย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดหรือใกล้จะถึงระดับดังกล่าวแล้ว

  1. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ

BoE มีแนวโน้มจะขึ้น อัตราดอกเบี้ย 75 จุดในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่แปด ในขณะที่ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงกว่า 10% แล้วในขณะนี้ - แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ที่อาจรุนแรงขึ้นได้ด้วยการลดการใช้จ่ายภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่

 ริชิ ซูนัค ความคาดหวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเต็มเปอร์เซ็นต์ถูกปรับลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกระทรวงการคลัง เจเรมี่ ฮันท์ กลับลำแผนการลดภาษีที่วางแผนไว้ของอดีตนายกรัฐมนตรี ลิส ทรัส และลดโครงการจำกัดพลังงานของเธอลงเหลือหกเดือนจากสองปี

แต่ความล่าช้าของแผนงบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลใหม่จนถึงวันที่ 17 พ.ย. จะทำให้ BoE คาดเดาการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจได้ยากขึ้น

หลังจากความล่าช้าที่เกิดจากความวุ่นวายในตลาดการเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ BoE ก็จะเริ่มขายพันธบัตรจากคลังกระตุ้นเศรษฐกิจในวันอังคาร

  1. ข้อมูลจากยูโรโซน

ยูโรโซนจะเผยแพร่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อสำหรับเดือนตุลาคมในวันจันทร์ ซึ่งคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.2%

เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ธนาคารกลางยุโรปได้ส่งมอบนโบาย ขึ้นอัตรา  75 จุด เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และข้อสังเกตที่ตามมาโดยผู้กำหนดนโยบายระบุว่าจะเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อป้องกันเงินเฟ้อยืดเยื้อ แม้จะกลัวภาวะถดถอยที่ใกล้เข้ามา

วิกฤตการณ์พลังงานในยุโรปที่เกิดจากสงครามของรัสเซียในยูเครนทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงอยู่แล้วรุนแรงขึ้นส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง

เขตยูโรยังจะเปิดเผยข้อมูล GDP เบื้องต้น สำหรับไตรมาสที่สามในวันจันทร์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มยุโรปจะเข้าสู่ภาวะหดตัวในไตรมาสที่สี่ 

  1. รายงานผลประกอบการ

เมื่อฤดูกาลทำรายได้ผ่านไปครึ่งทางของสัปดาห์ข้างหน้า จะเป็นการทดสอบว่าหุ้นจะสามารถรับมือกับข่าวผลประกอบการที่น่าผิดหวังได้หรือไม่

บริษัท 263 แห่งใน S&P 500 ได้รายงานไปแล้ว และบริษัท S&P 500 มากกว่า 150 แห่งมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า รวมถึง Eli Lilly (NYSE:LLY) ConocoPhillips (NYSE:COP) และ Qualcomm (NASDAQ:QCOM)

ฤดูกาลรายได้ประสบความล้มเหลวจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายราย อย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN), Microsoft (NASDAQ:MSFT), Google parent Alphabet (NASDAQ: GOOGL) และ Meta (NASDAQ:META)

Wall Street ปิดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในวันศุกร์โดย S&P และ Nasdaq โพสต์กำไรรายสัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งที่สองและ ดาวโจนส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกันโดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่เฟดจะกลับลำนโยบาย

-- ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย