โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- เป้าหมายของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนได้พังทลายลงในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
ทว่า ผู้ที่ยึดติดกับการสูญเสียความมั่งคั่งอันมหาศาล (ประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญ จากการประมาณการส่วนใหญ่) อาจจะกำลังหลงประเด็นไป หุ้นอินเทอร์เน็ตของจีนกำลังตกต่ำ การประเมินมูลค่าห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างมากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มนี้ในสหรัฐ และตัวเลขที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับแนวทางปฏิบัติอันหลากหลาย ซึ่งรัฐบาลมีเหตุผลในการที่จะควบคุมมานานแล้ว
มาตรการที่ก่อให้เกิดการล่มสลายได้รับการประกาศโดยรัฐบาลเดียวกับที่ปราบปรามกลุ่มประชาธิปไตยในฮ่องกง การจัดค่าย 're-education' ในซินเจียงและการพยายามเข้ายึดครองแหล่งน้ำที่สำคัญของโลกบางแห่ง ไม่ได้ถือเป็นความผิดสำหรับพวกเขา
ยกตัวอย่างกรณีของ Meituan บริษัทจัดส่งอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจาก Tencent Holdings (OTC:TCEHY) ซึ่งสูญเสียมูลค่าตลาดถึง 60 พันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงสองวันหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลตลาดของรัฐออกมาเตือนบริษัทให้จ่ายค่าจ้างขั้นต่ำในท้องถิ่นเป็นมูลค่าอย่างน้อย 60 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเตือนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
หรืออย่างการบังคับใช้กฏระเบียบใหม่เกี่ยวกับการแข่งขันด้านการค้า ซึ่งระงับการดำเนินงานที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแพลตฟอร์มแบบบูรณาการ เช่น Alibaba (NYSE:BABA) และ Tencent ที่บังคับให้ผู้ค้าที่เป็นบุคคลที่สามทำสัญญาในการปฏิเสธทางเลือกที่จะขายสินค้าของตนในที่อื่น รวมถึงระบบการชำระเงินที่พวกเขาต้องใช้ตามที่กำหนด นี่จึงถือเป็นระเบียบการต่อต้านการผูกขาดและเป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสในการเติบโตในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน
การขาดกฎระเบียบควบคุมในโลกอินเทอร์เน็ต (ยกเว้นอิสรภาพในการแสดงความเห็น) ทำให้เกิดแนวคิดที่ทรงพลังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอำนาจในการสร้างรายได้ของภาคส่วนนี้ที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในประเทศจีน ซึ่งช่วยเร่งให้เกิดแนวโน้มระยะยาวในธุรกรรมออนไลน์ทุกประเภท ส่งผลให้ดัชนี Golden Dragon NASDAQ และราคาหุ้นเทคฯของจีนส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวระหว่างสิ้นปี 2019 ถึงกลางปี 2021
แม้กระทั่งตอนนี้ ก็ยังคงเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2020 เพียงแต่อาจจะมีอุปสรรคในการสร้างรายได้ 10% ในช่วง 18 เดือนแรกน้อยกว่าช่วงที่ผ่านมา
ลองถอยออกมาแล้วคุณจะเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาคือฟองสบู่ที่เกิดจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป ประกอบกับความเห็นของเคธี วู้ด และนักลงทุนชาวจีนจำนวนมากในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ที่ต่างก็พากันสรุปว่า ภาคส่วนนี้เริ่มมีความน่าลงทุนมากขึ้น
อย่างน้อยก็มีบางส่วนที่เห็นด้วย โดยนายซู่ เหล่ย ผู้ดูแลการตลาดออนไลน์ของ JD (NASDAQ:JD) กล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อวันจันทร์ว่า "เราเชื่อว่าเป้าหมายด้านกฎระเบียบจะเอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาวของ JD จนถึงตอนนี้ ธุรกิจของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามนโยบายที่ดีขึ้น”
แน่นอนว่า กฎระเบียบต่าง ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทบางแห่งมากกว่าบริษัทอื่น ๆ ไม่มีแนวทางใดที่สมบูรณ์แบบ (อย่างน้อยก็สำหรับผู้ถือหุ้น) การเปลี่ยนข้อบังคับที่กำหนดให้บริษัทด้านการเรียนรู้ออนไลน์ทั้งหมดต้องกลายเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และการประกาศโดย Pinduoduo (NASDAQ:PDD) เมื่อวันอังคารว่า จะอุทิศกำไร 10,000 ล้านหยวนแรกให้กับเกษตรกรชาวจีน แสดงให้เห็นว่าการคุกคามของนโยบายกระจายความมั่งคั่ง จากการประชุมของรัฐบาลจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนของนักลงทุนด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น ความเสี่ยงที่สุดในระยะกลางสำหรับนักลงทุนในหลักทรัพย์ ADR ของจีนยังคงมีอยู่มาก ช่องว่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนทำให้ยากสำหรับบริษัทจีนที่จะตอบสนองต่อหน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายของทั้งสองประเทศ ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกดดันบางบริษัทให้ยกเลิกการเข้าจดทะเบียนในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจทำให้นักลงทุนในสหรัฐขาดทุนมหาศาล
โดยรวมแล้ว มันขึ้นอยู่กับว่าทางการจีนจะดำเนินการมากแค่ไหนเพื่อที่จะพยายามควบคุมผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ตตามกฏระเบียบของทางการ ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวไว้ในปาฐกถาพิเศษสองครั้งในปี 2019 และเมื่อต้นปีนี้ว่า ยังไงก็จำเป็นต้องมีกฏระเบียบ
สถานการณ์หนึ่งซึ่งอาจนำมาเปรียบเทียบได้ก็คือ เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ยืนกรานที่จะควบคุมอำนาจเหนือกลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ในประเทศของเขาในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยใช้แนวทางของมิคาอิล คอโดคอฟสกี้ เพื่อโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เชื่อว่า การกระทำที่ชาญฉลาดกว่าคือการยอมจำนนต่อรัฐบาลและบริหารงานของพวกเขาต่อไป ความถ่อมตนของแจ็ค หม่า แห่ง Alibaba ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มมหาเศรษฐีด้านธุรกิจอินเทอร์เน็ตของจีน ดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองไปในทิศทางดังกล่าว เขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีไม่กี่คนซึ่งเลือกที่จะยอมจำนนมากกว่าแสวงหาผลกำไร อันเป็นเสมือนการเลือกว่าจะรักษาความทะนงตนหรือดำรงไว้ซึ่งหลักการ