โดย Detchana.K
Investing.com - อัตราเงินเฟ้อของไทยที่เปิดเผยโดยกระทรวงพาณิชย์ขยับดีขึ้นเกินคาดเป็นเดือนที่สอง โดยล่าสุดเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ -0.98% และดัชนีทางเศรษฐกิจรายการอื่นๆก็ออกมาในทิศทางที่เป็นบวก จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และนักวิเคราะห์เองก็มองว่างินเฟ้อทั่วไปได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ติดตามรายละเอียดพร้อมประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยวันนี้
1. เงินเฟ้อกรกฎาคมเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ -0.98% คาดจุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว
วานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ -0.98% เร่งตัวขึ้นจากระดับ -1.57% ในเดือนมิถุนายน และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนล่าสุดเพิ่มขึ้น 0.66% จากเดือนก่อนหน้า จากราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวขึ้น 2.18% ไปพร้อมกับค่าใช้จ่ายหมวดเคหสถาน (ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า) ที่เพิ่มขึ้น 1.63% หลังมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลในช่วงวิกฤต COVID-19 ได้จบลง นอกจากนี้ ราคาสินค้าหมวดอาหารทั้งอาหารสดและอาหารบริโภคนอกบ้านต่างก็ปรับตัวขึ้น 0.89% และ 0.40% สะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
Krungthai Global Markets คงมุมมองว่า เงินเฟ้อทั่วไปได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อสำหรับปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ -0.9% ตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
รายงานเงินเฟ้อล่าสุดที่ดีกว่าคาดไปมากถึงสองเดือนติด ย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องได้กระตุ้นความต้องการสินค้าและบริการ ซึ่งจะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดีกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะยังไม่กลับสู่ระดับปกติภายใน 2 ปีเป็นอย่างน้อย ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ -0.9% ในปี 2563 แต่จะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1.0% ในปีหน้า ตามภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น
อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวดีขึ้น พร้อมกับการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจ “ยิ่งลดโอกาส” ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่า 0.50%อย่างไรก็ตาม หากมีการระบาดครั้งใหม่ที่รุนแรง กดดันให้เศรษฐกิจถดถอยหนักและเงินเฟ้อก็ลดต่ำลงไปมาก ธปท. ก็สามารถลดดอกเบี้ยอีก 0.50%(พร้อมกับยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม FIDF เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยลดดอกเบี้ยเงินกู้)
2 . ครม. ใหม่ทำงานได้เร็วตามคาด สร้างความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ลุ้น SET แตะ 1400 จุดอีกครั้ง
บล. หยวนต้า ให้ข้อมูลว่า ครม.ใหม่ 7 ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเริ่มทำงานต่อไป มีมุมมองเป็นกลางเชิงบวกต่อปัจจัยการเมืองในประเทศ เพราะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญเกิดขึ้นภายใน ส.ค. 63 ซึ่งทำให้อย่างน้อยไม่เกิดสุญญากาศทางการเมืองในช่วงรอยต่อของมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่กำลังสิ้นสุดลงและการพิจารณามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้กรอบงบประมาณ 4.5 แสนลบ.
อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้เวลาของ ครม. ใหม่ทำงาน และยังต้องติดตาม 7ประเด็นสำคัญ คือ (1) การจัดตั้งทีมฟื้นฟูเศรษฐกิจคล้าย ศคบ. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภค (2) ความต่อเนื่องในนโยบายเศรษฐกิจเดิม เช่น EEC (3) การออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs และแรงงานเพิ่มเติม (4) การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ เช่น ปรับลดภาษี (5) แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (6) การเลือกตั้งท้องถิ่น (7) การชุมนุมของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย
หยวนต้ายังคงมุมมองเป็นกลางเชิงบวกต่อปัจจัยการเมืองในประเทศ เพราะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญเกิดขึ้นภายใน ส.ค. 63 ที่เป็นกรณีดีที่สุดในกรณีศึกษาของหยวนต้า (ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นมารบกวน ความชัดเจนทางการเมืองในระยะสั้น มีโอกาสหนุน SET INDEX ขึ้นทดสอบ 1,400 จุดอีกครั้ง) โดยอย่างน้อยไม่ทำให้ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง ในช่วงรอยต่อของมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่กำลังสิ้นสุดลง และการพิจารณามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้กรอบงบประมาณ 4.5 แสนลบ.
อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้เวลาของ ครม. ใหม่ทำงาน โดยเราแนะนำให้ติดตาม 7 ประเด็นสำคัญ คือ (1) การจัดตั้งทีมฟื้นฟูเศรษฐกิจคล้าย ศบค. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภค (2) ความต่อเนื่องในนโยบายเศรษฐกิจเดิม เช่น EEC (3) การออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs และแรงงานเพิ่มเติม (4) การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ เช่น ปรับลดภาษี (5) แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (6) การเลือกตั้งท้องถิ่น(7) การชุมนุมของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย
3.จับตาตัวเลขการจ้างงาน Non-farm ของสหรัฐวันนี้
ระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.186 ล้านรายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้าที่ 1.42 ล้านราย และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19 ในสหรัฐฯ นอกจากนี้นักลงทุนยังควรติดตามรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ( Non-farm) โดยกระทรวงแรงงานจะรายงานวันนี้ (7 ส.ค.) ตลาดคาดหมายว่าตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 1.36 ล้านตำแหน่ง ในเดือน ก.ค. และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 10.7%
ขณะที่การเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ยังเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสำคัญ และคาดหวังจะเห็นการบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ ระบาดของไวรัส COVID-19
ฝั่งยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 0.10% ในการประชุมวานนี้ และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 7.45 แสนล้านปอนด์ (9.81 แสนล้านเหรียญ) โดย BoE ยังส่งสัญญาณว่า จะไม่คุมเข้มนโยบายการเงินจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนตัวสู่ระดับเป้าหมายอย่างยั่งยืน ขณะที่ยังคงติดตามสถานการณ์ และพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินตามความจำเป็น นอกจากนี้ BoE ยังเปิดเผยอัตราว่างงานของอังกฤษอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.5% ณ สิ้นปี 2563 ความเห็นของ BoE ระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษจะขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และมาตรการที่นำมาใช้เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุข