Investing.com - ภาพรวมของสามประเด็นหลักที่น่าสนใจประจำวันนี้มีดังต่อไปนี้
1. J.P. Morgan, {{0|Wells Fargo}) ประเดิมฤดูกาลรายงานผลประกอบการ
ฤดูกาลการรายงานผลประกอบการจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ โดยเริ่มจากธนาคารยักษ์ใหญ่สองแห่งได้แก่ JPMorgan Chase (NYSE:JPM) และ Wells Fargo (NYSE:WFC) ที่จะออกมารายงานก่อนเวลาตลาดเปิด
โดยรวมแล้วผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในดัชนี S&P 500 ในไตรมาสแรกคาดว่าจะทรุดตัวลง10.2% เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่คาดว่าจะทะยานขึ้น 6.3% ก่อนที่จะร่วงลง 22.4% ในไตรมาสที่สองเนื่องจากการปิดโรงงานและคำสั่งหยุดงานในบริษัทต่าง ๆ
Mike Loewengart กรรมการผู้จัดการการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนจาก E-Trade ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า “สัปดาห์นี้จะเป็นเสมือนแบบทดสอบทางจิตวิทยา”
"มีวิธีมากมายที่จะอ่านภาพรวมของตลาดท่ามกลางการรายงานผลประกอบการต่าง ๆ คุณจะมองว่าขาลงนั้นถึงจุดต่ำสุดแล้ว หรือจะมองว่าจะมีแรงกดดันขาลงให้มุ่งหน้าลงไปอีกก็ได้"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กชี้ว่าสำหรับหุ้นธนาคารแล้ว นักลงทุนควรพิจารณาการจัดสรรเงินทุนสำรองสำหรับการสูญเสียเครดิตของแต่ละธนาคาร เพราะจะแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
อย่างไรก็ดี จากผลคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่รวบรวมโดย Investing.com คาดว่า J.P. Morgan จะมีผลกำไร 2.28 ดอลลาร์ต่อหุ้นและมีรายได้ประมาณ 2.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
Wells Fargo คาดว่าจะทำกำไรได้ 61 เซนต์ต่อหุ้นและมีรายได้ประมาณ 1.94 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. J&J, United Airlines เตรียมรายงานผลประกอบการด้วย
ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มหุ้นเดียวที่จะแสดงผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านผลประกอบการได้
บริษัทผู้ผลิตสินค้าเวชภัณฑ์ Johnson & Johnson (NYSE: JNJ) จะรายงานผลประกอบการก่อนเวลาตลาดเปิด
จากผลคาดการณ์อย่างเป็นเอกฉันท์คาดว่าบริษัทจะทำกำไรได้ 2.05 ดอลลาร์ต่อหุ้นและมีรายได้ประมาณ 1.99 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
Briefing.com รายงานว่า J&J ได้กล่าวไว้ในช่วงกลางเดือนมีนาคมว่าห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเวชภัณฑ์ยังคงดำเนินต่อไปได้ และทางบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่ามียาพร้อมจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไปเสมอ
สายการบิน United Airlines (NASDAQ: UAL) ก็จะรายงานผลประกอบการเช่นกัน ขณะที่การดำเนินงานในอุตสาหกรรมการบินต้องหยุดชะงักเนื่องจากปริมาณการเดินทางที่ลดลงอย่างฉับพลัน
คาดว่าสายการบิน United จะขาดทุน 2.29 ดอลลาร์ต่อหุ้นและมีรายได้ประมาณ 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐจาก API
ในที่สุดก็เกิดการเทขายน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของเมื่อวานนี้ เนื่องจากความกังวลว่าการตกลงกันของกลุ่ม OPEC+ ที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันด้วยอัตรา 10 ล้านบาร์เรลต่อวันจะเพียงพอสำหรับการแก้ไขปัญหาหรือไม่
และตลาดส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อทวีตของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่า ปริมาณการลดกำลังการผลิตน้ำมันที่แท้จริงจะอยู่ในอัตราเกือบถึง 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน
หลังจากเวลาตลาดเปิดในวันนี้ สถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา (API) จะรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากอุปสงค์น้ำมันที่ลดลง
โดยเมื่อเดือนที่แล้ว API ได้รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐที่สูงขึ้นมาทั้งหมดเกือบ 12 ล้านบาร์เรล