โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนในวันจันทร์ที่ 16 มีนาคมมีดังต่อไปนี้
1. ธนาคารกลางสหรัฐออกมาตรการฉุกเฉิน
ธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ได้ประกาศมาตรการฉุกเฉินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเกือบถึงระดับ 0% และเดินหน้าโครงการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่เพื่อหนุนสภาพคล่อง
FED เผยว่าจะซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลเป็นมูลค่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าจะไม่ได้มีการระบุระยะเวลาของโครงการดังกล่าวก็ตาม
การใช้นโยบายดังกล่าวตามมาหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการฉุกเฉินระดับประเทศหลังเวลาตลาดปิดเมื่อวันศุกร์ และเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไว้ด้วยว่าเขาได้รับการทดสอบเชื้อ Covid-19 แล้วและผลตรวจออกมาเป็นลบ หลังจากเขาได้มีการปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐจากบราซิลซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อ
2. ประเทศอื่น ๆ กำลังดำเนินรอยตามกระแสนโยบายแบบผ่อนคลาย
ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ประกาศในวันนี้ว่าจะเพิ่มเป้าหมายการซื้อกองทุน ETF เป็นสองเท่ารวมเป็นมูลค่าราว 1.12 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนธนาคารกลางนิวซีแลนด์ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.75 จุดสู่ระดับ 0.25% และประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี และธนาคารกลางเกาหลีซึ่งก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธการลดอัตราดอกเบี้ยแม้ประเทศจะได้รับความเสียหายจากการระบาดของ Covid-19 ก็ตาม ล่าสุดได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว 0.50 จุดเหลือ 0.75%
นอกจากนี้นายโรเบิร์ต โฮลต์ซมันน์ ซึ่งเป็นสมาชิกธนาคารกลางยุโรปที่มีมุมมองเอนเอียงไปทางนโยบายแบบตึงตัว ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการเข้าแทรกแซงตลาดตราสารหนี้ของฝั่งยูโรโซนเพื่อรักษาเสถียรภาพด้วย
นายโฮลต์ซมันน์เสริมว่า “หากมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแทรกแซงตลาดตราสารหนี้รัฐบาล ก็จะต้องมีการใช้มาตรการเกิดขึ้น"
รัฐมนตรีทางการเงินของยูโรโซนกำลังอยู่ในระหว่างการประชุมในวันนี้ และคาดว่าน่าจะมีการประกาศนโยบายทางการเงินครั้งใหม่เพื่อหนุนเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนเมื่อการประชุมเสร็จสิ้น
3. ข้อมูลทางเศรษฐกิจจีนออกมาย่ำแย่ตามคาด
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ทรุดตัวลง 13.5% ส่วนยอดค้าปลีกก็ทรุดตัวลงมากกว่า 20% และการลงทุนในสินทรัพย์คงทนก็ลดลง 24.5% ตัวเลขเหล่านี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า GDP จีนในไตรมาสแรกจะต้องหดตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่ารายงานอื่น ๆ อย่างตัวเลขวัดค่ามลพิษและการจราจรในประเทศได้แสดงให้เห็นถึงการค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยบริษัทค้าปลีกในยุโรปอย่าง Kingfisher (LON:KGF) และ Associated British Foods (LON:ABF) (เจ้าของ Primark) ต่างก็รายงานว่าห่วงโซ่อุปทานในจีนเริ่มเข้าใกล้สภาพปกติแล้ว ทว่าประเด็นที่บริษัทกังวลมากที่สุดไม่แพ้ประเด็นอื่น ๆ คือการขยายเวลาการปิดร้านค้าในยุโรปเนื่องมาจากมาตรการกักกันโรค
4. ตลาดหุ้นเตรียมเปิดตัวในแดนลบ
เมื่อเวลา 6:40 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1040 GMT) สัญญาซื้อขายดัชนี Dow 30 ล่วงหน้า ทรุดตัวลง 1,045 จุดหรือ 4.6% เท่ากับ 21,794 จุด สัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้า ติดลบ 4.8% และ สัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ล่วงหน้า ปรับตัวลง 4.6%
พฤติกรรมหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงยังคงดำเนินต่อไป โดย ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแบบอายุ 10 ปี ปรับตัวลง 17 จุดสู่ระดับ 0.77% และ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแบบอายุ 2 ปี ลดลง 17 จุดเหลือ 0.32% สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ขยับลง 0.7% สู่ระดับ $1,507.00
เมื่อคืนนี้ ดัชนี Shanghai Shenzhen CSI 300 ของจีนหดตัวลง 5.3% ส่วนดัชนีของออสเตรเลียทรุดตัวลง 9.7% และดัชนี Euro Stoxx 600 ทรุดตัวลง 7.9%
5. ธุรกิจทั่วโลกดิ้นรนท่ามกลางการระบาด
บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกได้เริ่มออกมาส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับภาพรวมทางธุรกิจท่ามกลางมาตรการกักกันโรคที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในสหรัฐและยุโรป โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งรัฐนิวยอร์กและลอสแองเจลีสต่างก็ออกมาตรการสั่งปิดบาร์และร้านอาหารต่าง ๆ แล้ว ส่วนประเทศฝั่งยุโรปหลายประเทศก็ได้ออกมาตรการปิดพรมแดนแม้แต่บริเวณที่เป็นอิสระจากเครือเชงเก้นอีกด้วย
สายการบินเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยบริษัท IAG (LON:ICAG) เจ้าของสายการบิน British Airways เผยว่าในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนี้บริษัทจะลดจำนวนเที่ยวบินเหลือเพียง 25% จากทั้งหมด ขณะที่สายการบิน United Airlines ได้ลดจำนวนเที่ยวบินลงแล้วครึ่งหนึ่ง
ส่วน Fiat Chrysler ได้ประกาศปิดโรงงาน 8 แห่งชั่วคราวทั่วยุโรป และบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ Michelin (PA:MICP) ก็ได้ประกาศปิดโรงงานในฝรั่งเศส สเปน และอิตาลีด้วยเช่นกัน