ปากีสถานเห็นอัตราเงินเฟ้อหลักเดียวครั้งแรกปากีสถาน

ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ปากีสถานรายงานอัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคประจําปีลดลงเหลือ 9.6% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นตัวเลขเงินเฟ้อหลักเดียวของปากีสถานที่ประเทศได้เห็นในรอบเกือบสามปี สถิติล่าสุดนี้ประกาศโดยหน่วยงานสถิติของปากีสถานเมื่อวันจันทร์

อัตราเงินเฟ้อซึ่งสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการในช่วงหนึ่งปีปากีสถานลดลง 27.4% ที่รายงานในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และลดลงจาก 11.1% ที่สังเกตได้ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 0.4% ตามข้อมูลของสํานักงานสถิติปากีสถาน

กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระหว่าง 9.5% ถึง 10.5% ในเดือนสิงหาคม โดยคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายน แนวโน้มที่ลดลงของอัตราเงินเฟ้อเมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่สูงและเป็นไปตามมาตรการทางเศรษฐกิจหลายมาตรการ รวมถึงข้อตกลงที่ทํากับโมเนตานานาชาติปากีสถานเมื่อเดือนที่แล้ว

โครงการเงินกู้ 7 พันล้านดอลลาร์ที่ตกลงกันรวมถึงนโยบายที่เข้มงวด เช่น การเพิ่มภาษีจากรายได้จากฟาร์มและราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของความกังวลสําหรับพลเมืองที่ยากจนและชนชั้นกลางของปากีสถาน

นักวิเคราะห์การลงทุนของ Pak-คูเวต ปากีสถาน กล่าวว่าการลดลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นเสถียรภาพของสกุลเงินปากีสถาน ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เงินรูปีแข็งค่าขึ้น 9%-10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความพยายามของประเทศในการควบคุมความต้องการสกุลเงินสหรัฐฯ ผ่านการควบคุมการนําเข้าและอัตราดอกเบี้ยสูง รวมถึงมาตรการอื่นๆ

ธนาคารกลางของปากีสถานได้ลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสองครั้งติดต่อกัน โดยลดจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 22% เป็น 19.5% ธนาคารกลางมีกําหนดจะทบทวนนโยบายการเงินอีกครั้งในวันที่ 12 กันยายน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่ควบคุมได้และเพื่อช่วยในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนที่คาดการณ์ไว้ในปีงบประมาณ 2025 ตามที่กล่าวไว้ในรายงานประจําเดือนของกระทรวง

ในการให้สัมภาษณ์เมื่อต้นสัปดาห์นี้ Jameel Ahmed ประธานธนาคารกลางกล่าวว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็ว ๆ นี้มีประสิทธิภาพ โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงและบัญชีเดินสะพัดยังคงมีเสถียรภาพ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ํากว่า แต่ชีคก็แสดงความสงสัยเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์อย่างมีนัยสําคัญเนื่องจากค่าไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น เขายังเน้นย้ําถึงความท้าทายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเติบโตโดยไม่ทําให้วิกฤตดุลการชําระเงินรุนแรงขึ้น

บทความนี้ถูกแปลโดยใช้ความช่วยเหลือจากปัญญาประดิษฐ์(AI) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านข้อกำหนดการใช้งาน