Investing.com - เราได้รวบรวม 5 เหตุการณ์สำคัญจากปฏิทินเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อตลาดมากที่สุดในสัปดาห์นี้ดังต่อไปนี้
1. ตัวเลขประมาณการ GDP ครั้งสุดท้ายของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สี่
รายงานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเป็นที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะภายหลังจากการเผยข้อมูลชุดล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าทั้งผู้บริโภคและนักธุรกิจต่างก็ล่าถอยออกมาอย่างเห็นได้ชัด
กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งสุดท้ายของไตรมาสที่สี่ ในวันพฤหัสบดีเวลา 8.30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (12:30 GMT)
คาดว่าตัวเลขจะเผยการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับสามเดือนสุดท้ายของปี 2018 ในอัตรา 2.4% ต่อปี ปรับเปลี่ยนตัวเลขจากการประมาณการเบื้องต้นที่อัตรา 2.6% ซึ่งในไตรมาสที่สามของปีที่แล้วเศรษฐกิจเคยมีการเติบโตถึง 3.4%
ขณะนี้การเติบโตของเศรษฐกิจกำลังสูญเสียความเร็ว อันเนื่องมาจากขาดแรงกระตุ้นจากการปฏิรูปภาษีกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลอีกด้วย ด้วยการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมที่อ่อนแรง อีกทั้งความไม่แน่นอนในการถอนตัวของสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรป ปัจจัยดังกล่าวทั้งหมดถือว่ามีส่วนในการบดบังภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน
2. ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการประกาศข้อมูลรายได้ส่วนบุคคลและรายจ่ายของผู้บริโภคประจำเดือนมกราคมนี้ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อในรายจ่ายเพื่อการบริโภค (PCE) ในวันศุกร์เวลา 8.30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (12:30 GMT)
คาดไว้ว่าดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) จะปรับขึ้น 0.2% คล้ายกับตัวเลขจากเดือนก่อน และคาดว่าดัชนีราคา PCE รายปีจะขยับขึ้นถึง 1.9%
เฟดเลือกใช้ตัวเลข PCE เพื่อเป็นเครื่องมือในการพิจารณาว่าควรลดหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดยขณะนี้ยังมีเป้าหมายที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% หรือต่ำกว่านั้น
นอกจากนี้ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้ยังมีรายงานความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของคณะกรรมการการประชุมล่าสุด รวมถึงจำนวนบ้านใหม่ที่
3. ตัวแทนจากเฟดให้คำกล่าว
สัปดาห์นี้คณะตัวแทนจากเฟดจำนวนหนึ่งมีกำหนดการให้คำกล่าว อันเป็นที่น่าสนใจในบรรดาผู้ลงทุนเพื่อรอฟังแนวทางของนโยบายทางการเงินในอนาคต
ประธานาธิบดีเฟดประจำรัฐชิคาโก นายชาร์ลส์ อีวานส์, ประธานาธิบดีเฟดประจำรัฐฟิลาเดลเฟีย นายแพทริค ฮาร์เคอร์ และประธานาธิบดีเฟดประจำนครบอสตัน นายเอริค โรเซงเกรน ต่างก็มีกำหนดการให้คำกล่าวในวันนี้
นายอีวานส์และนายฮาร์เคอร์จะให้คำกล่าวอีกครั้งในวันอังคาร รวมถึงประธานาธิบดีเฟดประจำนคร นางแมรี ดาลี อีกด้วย
การให้คำกล่าวในวันพุธประกอบไปด้วยประธานเฟดจากนครคันซัส นางเอสเธอร์ จอร์จ ซึ่งจะกล่าวถ้อยแถลงในงานที่จัดขึ้นโดยกลุ่ม Money Marketeers จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค
ส่วนคณะตัวแทนจากเฟดผู้มีกำหนดการให้คำกล่าวในวันพฤหัสบดี ได้แก่ รองประธานเฟด นายริชาร์ด คลาริดา, ผู้ว่าการเฟด นายแรนดัล ควาร์ลส์, ผู้ว่าการเฟด นางมิเชล โบว์แมน และประธานเฟดประจำนครเซนต์ลูอิส นายเจมส์ บัลลาร์ด
นายควาร์ลส์จะขึ้นให้คำกล่าวอีกครั้งในวันศุกร์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตัวแทนจากเฟดชี้แจงว่าจะไม่มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากเดิมเมื่อเดือนธันวาคมเคยแจ้งว่าจะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสองครั้ง และเฟดยังระบุความประสงค์ที่จะยุติการลดขนาดงบดุลที่มีขนาดถึง 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในเดือนกันยายนนี้อีกด้วย
4. การเจรจาทางการค้าจีน-สหรัฐฯ
ทั้งสหรัฐฯ และจีนมีกำหนดการดำเนินการหารือต่อในสัปดาห์นี้ แต่ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมประนีประนอมข้อแตกต่างและยุติสงครามทางการค้าหรือไม่
ตัวแทนเจรจาทางการค้าจากสหรัฐฯ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นายสตีเวน มนูชิน จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจาทางการค้าครั้งล่าสุดที่มีกำหนดการในวันพฤหัสบดีนี้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวไว้เมื่อวันศุกร์ว่า การเจรจาทางการค้ามีจุดประสงค์ในการคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งบัดนี้กำลังมีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการลงนามข้อตกลง
ทว่าสหรัฐฯ ยังคงไม่ชะล่าใจที่จะด่วนสรุปเช่นนั้น เนื่องจากรายงานล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์จาก Financial Times ระบุว่าจีนยังไม่มีทีท่าที่จะยินยอมต่อความต้องการของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้จีนผ่อนปรนการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในประเทศ
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า จีนยังไม่มีการเสนอ "สัมปทานที่มีค่า" เพื่อสนองความต้องการของสหรัฐฯ ที่จะหยุดการแบ่งแยกผู้ให้บริการคลาวด์ต่างชาติจากจีน เพื่อลดขีดจำกัดในการโอนย้ายข้อมูลข้ามประเทศ อีกทั้งเพื่อลดหย่อนข้อกำหนดที่บังคับให้บริษัทต่าง ๆ ในจีนจัดเก็บข้อมูลไว้ภายในประเทศเพียงเท่านั้นอีกด้วย
5. ความคลุมเครือของ Brexit
ความเสี่ยงที่จะเกิดการถอนตัวสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรปแบบไม่มีข้อตกลงในวันที่ 29 มีนาคมนี้ได้หมดสิ้นลงแล้ว เนื่องจากผู้นำสหภาพยุโรปได้ยินยอมอนุมัติการยืดเวลาให้แก่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นางเธเรซา เมย์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอาจหวนคืนกลับมาอีกครั้งอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 12 เมษายน หรืออาจล่าช้าไปถึงเดือนพฤษภาคมหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายกรัฐมนตรีในการทำลายขีดจำกัดของ Brexit ในรัฐสภา
เป็นระยะเวลากว่าสามปีมาแล้วที่มีการโต้เถียงกันในเรื่องนี้ และยังคงไม่มีทีท่าว่า Brexit จะเกิดขึ้นหรือไม่ เกิดขึ้นเมื่อไรหรือเกิดขึ้นอย่างไร
นายกเมย์ได้เปรยเมื่อวันศุกร์ว่า เมย์อาจไม่นำข้อตกลงการถอนตัวที่ถูกปฏิเสธมาแล้วถึงสองครั้งนำกลับไปยังรัฐสภาอังกฤษในสัปดาห์นี้อีก ทำให้กลยุทธ์ Brexit ของเมย์อยู่ในจุดวิกฤต นอกจากนี้ The Times และ The Daily Telegraph ยังรายงานว่าแรงกดดันที่บีบบังคับให้เมย์ลาออกจากตำแหน่งกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
-- เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์