โดย Barani Krishnan
Investing.com – ทองจะขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์อีกครั้งได้ไหม
ทองคำยังคงลดระดับลงอย่างต่อเนื่องในวันจันทร์ โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 วันที่ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดูเหมือนว่าความตื่นตระหนกต่อรัสเซีย-ยูเครนน่าจะเริ่มซาไปบ้างท่ามกลางสัญญาณว่าการเจรจาต่อรองอาจได้ผล
เทรดเดอร์ยังคงรอคอยการประกาศการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของสหรัฐในยุคการระบาดใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐในวันพุธนี้
เอ็ด โมย่านักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ OANDA กล่าวว่า "ราคาทองคำได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองเริ่มค่อนข้างผ่อนคลาย และนักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นนโยบายที่ตึงตัวของเฟดในปลายสัปดาห์นี้”
“ตลาดทองคำกำลังอยู่ในช่วงที่เทรดเดอร์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและอาจจะมีการเทขายเนื่องจากวอลล์สตรีทกำลังเตรียมการรับมือการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้น 6-7 ครั้ง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ยังคงอยู่และมากขึ้นจากสงครามในยูเครน โดยจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงสูงอยู่ในช่วงที่จะเข้าสู่ฤดูร้อน”
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในตลาดโคเม็กซ์ของนิวยอร์ก เมษายน ปรับตัวลง 24.20 ดอลลาร์หรือ 1.2% ที่ 1,960.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาต่ำสุดของเซสชั่นอยู่ที่ 1,952.20 ดอลลาร์ซึ่งทำเครื่องหมายจุดต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม
โมย่ากล่าวว่าการขายทองคำสามารถตั้งเป้าไว้ที่ 1,930 ดอลลาร์
“แต่ราคาระดับนั้นจะไปได้ดีก็ต่อเมื่อมีผู้ซื้อ การแก้ปัญหาด้านความตึงเครียดทางการเมืองอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นไปได้ยาก และในขณะที่เฟดกำลังดำเนินการเพื่อให้เห็นว่าพวกเขากำลังจัดการกับเงินเฟ้อ แต่เฟดไม่ได้อยู่ในจุดที่จะกระชับสถานการณ์ทางการเงินด้วยแนวทางแข็งกร้าวได้จนกว่าพวกเขาจะจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้นเสียก่อน”
คณะกรรมการตลาดกลางแห่งสหพันธรัฐหรือ FOMC ของเฟด ได้รับการคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 จุดพื้นฐาน หรือหนึ่งในสี่เปอร์เซ็นต์ของจุดพื้นฐานหลังการประชุมในวันอังคารและวันพุธ ซึ่ง FOMC คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0 เปอร์เซ็นต์นับแต่การระบาดของโควิด 19 ในเดือนมีนาคม 2020 โดยเหล่านักเศรษฐศาตร์หลายคนคิดว่าไม่ว่านโยบายของเฟดในครั้งนี้จะช่วยได้ไม่มากนัก
บททดสอบของธนาคารกลางและประธานเจอโรม พาวเวลล์ คือการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึงจุดที่พอที่จะทำให้อุปสงค์สงบลง และไม่ใช่เพื่อให้อุปสงค์หายไปหรือส่งเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ปัญหาของพาวเวลล์คือการรุกรานยูเครนของรัสเซียทีทำให้งานของเขายากขึ้นไปอีก
อย่างที่บลูมเบิร์กได้ระบุไว้ในคำอธิบายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สงครามได้ทำให้ตลาดปั่นป่วนทั้งในตลาดการเงินและตลาดพลังงานทั่วโลกและเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ตลาดสงบลง ยังไม่รวมถึงการที่ประธานเฟดออกมาย้ำเตือนเราถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนจากการแถลงข่าว
“มันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก” มาร์ค แซนดิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Moody's Analytics กล่าวในบลูมเบิร์ก โดยกล่าวถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้นควบคู่ไปกับตลาดหุ้นและตลาดสินเชื่อที่ตกต่ำ ที่อาจทำให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลงเพิ่มโอกาสของภาวะเศรษฐกิจถดถอย
“เปรียบเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้เหมือนเครื่องบินที่กำลังจะแลนดิ้งบนรันเวย์ด้วยความเร็วสูง และต้องฟันฝ่ากระแสลมแรงจากโรคระบาด แถมยังมีทัศนวิสัยที่ถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ” ซานดี กล่าว
โยฮัน กราห์นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ETF ของ Allianz (DE:ALVG) ยังบอกกับ Investing.com เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าการปรับขึ้นค่าฐาน 25 จุด “เป็นการตัดสินใจที่เหมือนไม่ได้เป็นการตัดสินใจ … และจะไม่ทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อดีขึ้น”
แม้ว่าเริ่มแรกเฟดจะได้รับคำชมว่าสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ดีในช่วงที่มีการระบาดของโควิด19 แต่ขณะนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไป หลังจากที่ประธานพาวเวลล์ได้ออกมายอมรับว่าธฯาคารกลางได้คาดการณ์ผิดพลาดไปในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อโดยคิดว่าจะเป็นปัญหาเพียงชั่วคราว
นอกเหนือจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 7 ครั้งในปีนี้ โดยอิงข้อมูลจากการประชุมของ FOMC ยังมีตัวเลขลดลงที่ยังไม่ได้ระบุในงบดุลของเฟด ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 8.9 ล้านล้านดอลลาร์หลังจากที่ธนาคารกลางใช้หนุนพันธบัตรและหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อรองรับเศรษฐกิจตั้งแต่การระบาดของโควิดในเดือนมีนาคม 2020
การกระทำดังกล่าวจะลดกระแสเงินสดในระบบการเงิน แต่ก็จะนำมาซึ่งผลที่ไม่แน่นอนสำหรับตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น สิ่งที่อันตรายคือหากอัตราเงินเฟ้อไม่เริ่มลดลงตามกลไกที่นำมาใช้ในขั้นแรก ผู้กำหนดนโยบายจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอีก ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตลาดการเงินตกต่ำ
สรุป: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน หรือร้อยละหนึ่งส่วนสี่นั้นคาดว่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในตลาดในสัปดาห์หน้า และอาจทำให้ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้มีความกล้ามากขึ้นในตลาดหุ้นไปจนถึงพันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน และสินค้าโภคภัณฑ์
การปรับขึ้น 50 จุดพื้นฐาน หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์จะมีผลลัพธ์ที่ร้ายแรง กับทองคำ หรือแม้แต่น้ำมัน ซึ่งราคาจะร่วงลงท่ามกลางการกระดานแดงครั้งใหม่ของวอลล์สตรีท อัตราเงินเฟ้ออาจหยุดชั่วคราวเช่นกัน — แต่เฟดจะต้องทำมากกว่านี้อย่างแน่นอนหากไม่ต้องการให้แรงกดดันด้านราคาที่ลดลงกลับมาอีกครั้ง