ในการสัมภาษณ์ครั้งใหม่ของ Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan กับ Times of India ยังคงเล่าถึงประวัติศาสตร์การวิพากษ์วิจารณ์ Bitcoin ของเขา โดยมีประโยคเด็ดที่ว่า “ผมคิดว่าถ้าคุณยืมเงินเพื่อซื้อบิตคอยน์คุณเป็นคนโง่” Dimon CEO มหาเศรษฐีได้มีท่าทีไม่ยอมรับบิตคอยน์อย่างยิ่งนับตั้งแต่วันที่สินทรัพย์ดิจิทัลนี้เปิดตัวครั้งแรก โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะเพิกเฉยต่อการขึ้นราคาและความต้องการจากลูกค้าของเขาเอง ซึ่งเขายังกล่าวว่า “ผมไม่สนใจบิตคอยน์จริง ๆ” และอธิบายต่อว่าเขารู้เรื่องคริปโทเคอร์เรนซี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น Dimon กล่าวว่า ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสินทรัพย์หรือไม่ ไม่รู้ว่าเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสกุลเงินหรือเปล่า อย่างไรก็ตามเขายังแนะนำว่ากฎระเบียบจะจำกัดบิตคอยน์แต่ไม่ว่าจะกำจัดมันออกไปหรือไม่ ผมไม่รู้และไม่สนใจเป็นการส่วนตัว ผมไม่ใช่ผู้ซื้อบิตคอยน์ อีกทั้งเขาได้ยังแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่าราคาจะไปไม่ถึง 10 เท่าในอีกห้าปีข้างหน้า ทั้งนี้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจุดยืนของเขาอ่อนลงเกี่ยวกับ Bitcoin โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกองทุนที่ดำเนินการโดยธนาคารของเขาเริ่มจัดสรรเงินทุนให้กับตลาด แต่จากความคิดเห็นที่ปฏิเสธหลายครั้งของเขานั้นชัดเจนแล้วว่า Dimon ไม่ได้สนใจบิตคอยน์เป็นการส่วนตัว “ผมเรียนรู้มานานแล้ว คิดให้ออกว่าคุณต้องการอะไร ทำในสิ่งที่คุณต้องการ และประสบความสำเร็จด้วยตัวคุณเอง” Dimon ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจหลังจากการล็อกดาวน์ของรัฐบาลทั่วโลก โดยอ้างว่าบิตคอยน์ได้รับประโยชน์จากฟองสบู่สินทรัพย์ที่ใหญ่ขึ้นในเศรษฐกิจโลกจากเหตุการณ์โรคระบาด ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาจะเห็นว่าการแลกเปลี่ยนซื้อขายบิตคอยน์ในวันนี้สูงกว่าช่วงก่อนโควิดมากถึง 20% แม้ว่าท้ายที่สุดผู้บริหารของ JPMorgan มองเห็นศักยภาพของบิตคอยน์ควบคู่ไปกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าของพวกเขา ทำให้ในเดือนสิงหาคม JPMorgan Chase ประกาศได้ร่วมมือกับ New York Digital Investment Group ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับสถาบันที่เน้นบิตคอยน์เพื่อเสนอกองทุนบิตคอยน์ อย่างไรก็ตามเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ทั้ง Wells Fargo และ JPMorgan ได้ยื่นขอกองทุน Bitcoin แบบพาสซีฟสำหรับลูกค้าที่ร่ำรวยของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้จะมีความกังวลของ Dimon ก็ตาม แต่ภาคการธนาคารก็ตอบสนองต่อความต้องการบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้น
กดอ่านข่าว CEO ของ JPMorgan กล่าวแซะว่าราคา Bitcoin จะไปไม่ถึง 10 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ต่อที่ Siam Blockchain