โดย Gina Lee
Investing.com – ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเช้านี้ โดยทรงตัวที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 เนื่องจากองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) คาดการณ์ว่าแนวโน้มอุปสงค์จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและอุปทานของอิหร่านล่าช้ากว่าที่คาด
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ เพิ่มขึ้น 0.24% สู่ระดับ 70.41 ดอลลาร์ เมื่อเวลา 23:47 น. ET (3:47 น. GMT) ส่วน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.21% เป็น 67.86 ดอลลาร์
OPEC+ ตกลงในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในการที่จะผ่อนคลายมาตรการควบคุมอุปทานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มฯไม่ได้ให้ข้อมูลด้านนโยบายใด ๆ เพิ่มเติม โดยที่ยังคงค่อนข้างรัดกุมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ในการแสดงความคิดเห็นหลังการประชุม เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า อุปสงค์ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในสหรัฐและจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก 2 ราย พร้อมกล่าวเสริมว่า โครงการฉีดวัคซีน “สามารถนำไปสู่การปรับสมดุลของตลาดน้ำมันทั่วโลก”
นอกจากนี้ แนวโน้มตลาดยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิดและการเจรจาอย่างต่อเนื่องระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจไม่ยกเลิกการคว่ำบาตร เนื่องจากการเจรจาเพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ระหว่างอิหร่านและมหาอำนาจโลก คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนสิงหาคม ตามรายงานของเจ้าหน้าที่อิหร่าน
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นราว 40% ในปีนี้ ขณะที่ความต้องการเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา จีน และบางส่วนของยุโรป แม้ว่าจะยังมีการระบาดของผู้ติดเชื้อโควิดในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและไต้หวัน
“ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี อุปสงค์อาจกลับมาสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด” ฟาติห์ บิโรล กรรมการบริหารสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศกล่าวกับ Bloomberg
ในส่วนของอุปทาน ข้อมูลอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จากทั้ง American Petroleum Institute และ US Energy Information Administration จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้