InfoQuest - สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักในวันพุธ (6 พ.ย.) โดยราคาทองถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 73.40 ดอลลาร์ หรือ 2.67% ปิดที่ 2,676.30 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.444 ดอลลาร์ หรือ 4.41% ปิดที่ 31.331 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 13.90 ดอลลาร์ หรือ 1.38% ปิดที่ 992.80 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 38.80 ดอลลาร์ หรือ 3.60% ปิดที่ 1,039.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 1.61% แตะที่ระดับ 105.090 ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดราคาทองคำ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
โรนา โอคอนเนลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัท StoneX กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาชัดเจนว่าทรัมป์ได้รับชัยชนะนั้น ได้ขจัดความไม่แน่นอนทางการเมืองและทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าการเลือกตั้งอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผลและอาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง นอกจากนี้ชัยชนะของทรัมป์ยังส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก และสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ
นักวิเคราะห์มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากแผนการปรับลดอัตราภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน รวมทั้งการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน จะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชียและจะเอื้อประโยชน์ต่อดอลลาร์ในที่สุด นอกจากนี้ มาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจะหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ตลาดจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ (7 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐฯ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้