Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงช่วงการซื้อขายในเอเชียวันนี้ โดยโอกาสที่ตลาดจะตึงตัวนั้นมีน้อยลงในปี 2024 ซึ่งได้หักล้างกับสัญญาณเชิงบวกจากท่าทีเชิง hawkish ที่ลดลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ และอาจมีการหยุดชะงักของอุปทานในตะวันออกกลาง
ราคาน้ำมันดิบร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน ภายหลังการลดกำลังการผลิตอย่างมากโดยองค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+)
แนวคิดนี้ยังคงมีอยู่ในวันนี้ เมื่อพิจารณาจากการปรับลดครั้งใหม่ของกลุ่ม OPEC+ ลงเหลือน้อยกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน การปรับลดดังกล่าวเป็นไปตามความสมัครใจ แต่สมาชิกกลุ่มพันธมิตรบางรายส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามและยกระดับการผลิตแทน
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับลง 0.6% เป็น 78.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ปรับลง 0.5% เป็น 73.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 21:42 ET (02:42 GMT)
อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงจากท่าทีเชิง hawkish ที่ลดลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้ราคาน้ำมันผ่อนคลายลงบ้าง
การโจมตีในทะเลแดงทำให้เกิดความกังวลด้านอุปทานในตะวันออกกลางอีกครั้ง
เพนตากอนกล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเรือรบและเรือพาณิชย์ของสหรัฐฯ หลายลำถูกโจมตีในทะเลแดง ขณะที่กลุ่มฮูตีของเยเมนอ้างว่าได้ดำเนินการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธต่อเรือรบของอิสราเอลในพื้นที่ดังกล่าว
รายงานดังกล่าวพบว่านักลงทุนมีการกำหนดราคาค่าพรีเมี่ยมความเสี่ยงต่ำในน้ำมันดิบ ความหวาดกลัวต่อสงครามอิสราเอล-ฮามาสได้ค่อย ๆ หายไปจากตลาดในช่วงเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความขัดแย้งดังกล่าวได้ทำให้เกิดการหยุดชะงักเล็กน้อยของอุปทานในตะวันออกกลาง
เหตุการณ์การโจมตีครั้งใหม่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะลุกลาม โดยดึงสหรัฐฯ กับมหาอำนาจอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง เข้ามาเกี่ยวข้องและอาจส่งผลกระทบต่ออุปทาน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเจรจาเพื่อขยายเวลาการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาสไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้เกิดสงครามอีกครั้ง
ตลาดน้ำมันยังคงต่อสู้กับความกังวลด้านอุปสงค์ และอุปทานที่ตึงตัวน้อยลง
ถึงแม้จะมีสัญญาณเชิงบวกในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ตลาดน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มไปทางขาลงเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการปรับลดการผลิตที่น่าผิดหวังของ OPEC+ ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก
ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จากประเทศเศรษฐกิจชั้นนำหลายแห่ง แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจยังคงอ่อนแอในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะรายงาน PMI ที่อ่อนแอจากผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่อย่าง จีน และผู้บริโภคเชื้อเพลิงรายใหญ่อย่าง สหรัฐฯ เป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในตลาด
ความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้ความต้องการน้ำมันลดลง เป็นปัญหาสำคัญต่อตลาดน้ำมันดิบในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางจากประเทศชั้นนำส่วนใหญ่ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังเข้มงวดต่อไปอีกนาน
ด้านอุปทาน การผลิตของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการเชื้อเพลิงในประเทศที่ผ่อนคลายลง ทำให้ปริมาณ สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก