วานนี้มีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อยุโรป เดือน ต.ค. 2.9% (ลดลงจากเดือนก่อน และต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.1%) พร้อมกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอ ทั้ง GDP3Q66 ยุโรปออกมา 0.1%YOY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.2%) และตัวเลข PMI จีน เดือน ต.ค. 49.5 (ต่ำกว่าตลาดคาด 50.2) หนุนให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ FED คืน นี้และระยะถัดไปลดน้อยลง อีกทั้งยังมีประเด็นฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน ต่างชาติในอีกไม่กี่วัน ถือว่าเป็นบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นโลก ส่วนในประเทศเริ่ม เห็นทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.ย. อยู่ที่ 3.4 พันล้าน เหรียญ (ทำระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน) พร้อมกับตัวเลขส่งออก +1%YOY (พลิก กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 12 เดือน) และรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อเนื่อง ทั้งฟรีวีซ่าไต้หวันและอินเดีย ลดภาษีน้ำมันเบนซิน 1 บาท/ลิตร เป็นต้น
ขณะที่ SET INDEX ปรับฐานลงมาลึกกว่า -12% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ภายใต้ ปัจจัยภายนอกผ่อนคลาย และเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นตามลำดับ จึงคาดหวัง SET INDEX มีโอกาสทยอยฟื้นตัวขึ้นในระยะถัดไป ส่วนวันนี้ประเมินกรอบการ เคลื่อนไหว 1375–1390จุด ยังคงเน้นให้ทำ BUY & HOLD หุ้น TOP PICK วันนี้ ERW, BH และ TU
ปัจจัยแวดล้อมดีขึ้นช่วงสั้น ส่วนคืนนี้รอดูทิศทางดอกเบี้ย FED
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปมีการเคลื่อนไหวในกรอบราว -0.1% ถึง 0.9% หลัง ตลาดรอติดตามการประชุม FED คืนนี้ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ขณะที่ FED WATCH TOOL เผยผลสำรวจพบว่ามีโอกาสสูงถึง 97% ที่ FED จะยังคง ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ในการประชุมรอบเดือน พ.ย. และมีแนวโน้มที่จะตรึงดอกเบี้ยไปจย ถึงกลางปี 2567
นอกจากนี้เงินเฟ้อยุโรปในเดือน ต.ค. อยู่ที่ +2.9% ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนอย่าง มากที่ 4.3%YOY โดยหลักได้รับแรงกกดันจากกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้เงินเฟ้อยุโรป เข้าใกล้กรอบเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ 2% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่อัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงของยุโรปรวมถึงหลายๆ ประเทศ พลิกกลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง ทำให้ หลังจากนี้น่าจะเห็นธนาคารกลางต่างๆเริ่มเข้าสู่ช่วงตรึงดอกเบี้ย
สำหรับพัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – ฮามาส เชื่อว่าจะช่วยคลาย ความกังวลลงไปได้บ้างในช่วงสั้น หลังกลุ่มฮามาสแถลงว่าจะทำการปล่อยตัวประกัน ชาวต่างชาติหลายรายเร็วๆ นี้ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดชัดเจน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การสู้รบยังต้องติดตามต่อไป เนื่องจากผู้นำอิสราเอลยืนยันว่าจะไม่มีการหยุด และอาจขยายการบุกภาคพื้นดินไปทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ขณะที่การ โจมตีบริเวณชายแดนอิสราเอล –เลบานอนครั้งนี้ ยังรุนแรงสุดในรอบ 17 ปี
สรุป ภาพรวมตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง หลังดอกเบี้ยเข้ากำลังสู่โซนทรงตัว จากเงิน เฟ้อเข้าสู่โหมดขาลง โดยตลาดรอติดตามการประชึม FED คืนนี้ สถานการณ์ พัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – ฮามาส ยังไม่ได้ขยายวงกว้าง และมี การแถลงจากกลุ่มฮามาสว่าจะทำการปล่อยตัวประกันชาวต่างชาติหลายรายเร็วๆ นี
ปัจจัยในประเทศดีเหลือเกิน หนุนเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทย
วานนี้ ธปท. มีถ้อยคำแถลงว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ย.66 อยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดย กิจกรรมในภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับ มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำปรับเพิ่มขึ้นในหลายหมวดสินค้า ทำให้ ดุลการค้าอยู่ที่ +3.8 พันล้านเหรียญฯ ขณะที่ดุลบริการทยอยดีขึ้นเรื่อยๆ หลังทำจุด ต่ำสุดในเดือน พ.ค.66 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.ย.66 +3.4 พันล้านเหรียญฯ สูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ ธปท. เตือนในระยะต่อไป มี 4 ปัจจัยที่ต้องติดตาม อาจ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้คือ การฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้า, ความชัดเจน ของนโยบายรัฐบาล, ผลกระทบของเอลนีโญต่อผลผลิต ราคาสินค้าเกษตร และ ผลกระทบจากความขัดแย้งของกลุ่มฮามาส-อิสราเอลต่อราคาพลังงานและอุปสงค์ ต่างประเทศ
ขณะที่วานนี้มีการประชุม ครม. ซึ่งประเด็นที่มีมติเห็นชอบในที่ประชุมมีรายละเอียด ดังนี้
• ฟรีวีซ่า ไต้หวัน และอินเดีย 30 วัน มีผล 10 พ.ย.66 -10 พ.ค. 67เพื่อกระตุ้น จำนวนนักท่องเที่ยว
• ลดภาษีน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ลง 1 บาท/ลิตร (เดิมตั้งเป้า 2.5 บาท/ลิตร) นาน 3 เดือน เริ่ม 7 พ.ย.66
• อนุมัติให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม (คุมราคา+ส่งออก) หลังราคาปรับขึ้น 4 บาทต่อกิโลกรัม
ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลเข้าประเทศไทยทั้งทางตรงและ ทางอ้อม สังเกตได้จากค่าเงินบาทที่ทยอยแข็งค่า จนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 35.97 บาท/ เหรียญฯ และต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิ +302 ล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 6) และหากพิจารณาตั้งแต่ต้นเดือน ซื้อสุทธิ มาแล้วกว่า 1.25 หมื่นล้านบาท
สรุป เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON ของฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตเป็นขั้นบันได สังเกต ได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวกเดือนที่ 2 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อ FLOW ต่างชาติให้ ทยอยไหลเข้าประเทศไทย และทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในอนาคต
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities