ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ทำให้นักลงทุนพากันตื่นกระหนกเทขายหุ้นอย่างหนัก ตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.ที่ผ่าน แต่แล้ว SET INDEX กลับมาดีดตัวขึ้นในเดือนพ.ค.
การฟื้นตัวของSET INDEX เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจากการตื่นตระหนกในผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ผ่าน “จุดต่ำสุด”ไปแล้ว จึงเริ่มเข้า “เก็บ”หุ้นพื้นฐานที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เร็วหลังหากทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
โดยทั่วไป “ราคาหุ้น” จะสะท้อนการคาดการณ์ของนักลงทุนในอนาคต ดังนั้น ดัชนีที่ขยับขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพียงแต่ที่ผิดแผกไปบ้างตรงที่การคาดการณ์ของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางของตลาด
เพราะส่วนมากตามเหตุผลที่มักจะอธิบายกันเมื่อราคาหุ้นเริ่มขยับ แสดงให้เห็นว่ามีสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะทิศทางการดำเนินงานและทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตจากการประเมิน
แต่ในความเป็นจริงในขณะนี้แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ใด ๆ ว่าจะเป็นเช่นนั้น และ คนมักจะพูดว่า“ตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่แน่นอน” แต่ปัจจุบันดัชนีตลาดก็ประคองตัวอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ อนาคตยังดูไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร จากยุค “New Normal”
สัญญาณแรกที่มักจะดูกัน คือ การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งดูจากในปีนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นเช่นนี้มานาน 2-3 ติดต่อกัน โดยในปีนี้เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 171,265.14 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อสุทธิคือนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน
ต่อมาในเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มออกมาเกือบหมดแล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่าเพียงแค่สิ้นไตรมาสแรก ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบบเต็มที่นัก แต่ก็ปรากฏว่าลดลงกันถ้วนหน้า มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นมีผลประกอบการที่ดีขึ้นหรือทรงตัว และหลายบริษัทได้ปรับลดการคาดการณ์ในปีนี้ไปเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่ใช่เป็นปีที่ดี แต่หากดูแลให้อยู่ได้ก็ถือว่า “ดีเยี่ยม”
เมื่อหันมาดูตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมา ก็แทบมองไม่เห็นว่ามีอะไรที่บ่งชี้ให้เห็นว่าดีขึ้น ตัวเลขส่งออกก็ลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ปรับลดลง นักท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนตกงานก็มีมากขึ้นเกือบ 1 ล้านคนที่ไปขอเงินชดเชยจากสำนักงานประกันสังคม และมีผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกมาก
ยิ่งกว่านั้น ทิศทางเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทย ก็“ถดถอย”ไปเรียบร้อยแล้ว แต่จะหนักขนาดนั้นต้องรอดูสักระยะ ซึ่งบรรดากูรูก็แนะว่าให้ดูคนใกล้ ๆ ตัวเราว่ามีใครได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักจะมาเร็วกว่าตัวเลขประมาณการณ์ของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่มักจะล่าช้ากว่าจะประกาศออกมา
ส่วนทิศทางในอนาคตนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครคาดการณ์อะไรได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีนี้ ก็เพียงหวังว่าจะเร่งผลิตวัคซีนป้องกันได้ในเร็ววัน แต่หากดูจากบรรดานักวิทยาศาสตรทั่วโลกที่กำลังคิดค้นกันอยู่ในขณะนี้ ก็ดูเหมือนว่าคงไม่เร็วนักกว่าจะผลิตวัคซีนออกมาใช้ได้
ดังนั้น แนวคิด “New Normal” ไม่ว่าจะเรียกว่า วิถีชีวิตใหม่ วิถีปกติใหม่ หรือชื่อใด ก็หมายความว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งย่อมกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปด้วย
แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า “New Normal” มีอะไรใหม่ มีอะไรที่ถูกทำลายไปบ้าง และยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
สิ่งที่เราเจอในตลาดหหุ้นขณะนี้ เป็นภาวะที่ “ขัดแย้งในตัว” และเป็นภาวะที่ “น่ากลัว” อยู่ไม่น้อย
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Businesstoday
https://businesstoday.co/