CPALL (BK:CPALL) รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q20 ที่ 5,645 ลบ. ( - 2%YoY, -8%QoQ) ถ้าไม่รวม กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 56 ลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ระดับ 5,589 ลบ. ( - 3%YoY, -8%QoQ) ปัจจัยที่กดดันหลักมาจากการบันทึกมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ทำให้มีการบันทึกดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 308 ลบ. โดยรายได้อยู่ที่ 140,971 ลบ. (+ 5%YoY,-1%QoQ) ได้รับผลดีจากยอดขายของ MAKRO ที่ีเติบโตกว่า 9%YoY
แต่ของ CPALL เองได้รับแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และผลจากโรค COVID ที่เริ่มตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. ส่งผลให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) ลดลง 4% และรายได้ต่อสาขาต่อวันลดลง 4%YoY เช่นกัน แม้ว่าจะมีการเปิดสาขาได้อีก 271 สาขาก็ตาม กำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 22.1% ลดลงจาก 22.4% ใน 1Q19 และ 22.7% ใน 4Q19 เนื่องจากรายได้จากทาง MAKRO ที่มีกำไรขั้นต้นต่ำกว่าธุรกิจสะดวกซื้อของ CPALL มีสัดส่วนมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและ บริหารอยู่ที่ 27,307 ลบ. (+6%YoY, -5%QoQ) การเพิ่มขึ้นจากปีก่อนสาเหตุหลักยัง มาจากเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานตามจำนวนสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่ม รายได้อื่นมีจำนวน 4,787 ลบ. (+7%YoY, -10%QoQ) ดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 1,881 ลบ. (+ 7%YoY,+16%QoQ) เพิ่มขึ้นจากการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 16 จำนวน 308 ลบ. หากไม่รวมดอกเบี้ยดังกล่าวดอกเบี้ยเดิมจะลดลงเพราะมีการลดเงินกู้ลงอย่างต่อเนื่อง
กัมพูชาเดิมคาดเปิดได้ปลายปี แต่เจอ COV ท าให้เลื่อนไปก่อน
สำหรับการลงทุนในประเทศกัมพูชาหลังจากเซ็นสัญญาไปแล้ว เดิมคาดว่าจะเปิดได้ สาขาแรกในช่วงปลายปีนี้ แต่ด้วยผลกระทบจากโรค COVID ทำให้แผนการเปิดคาดว่าจะเลื่อนไปเป็นต้นปี 21 แทน โดยทางผู้บริหารมองว่าตลาดกัมพูชามีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากทั้งในเรื่องคู่แข่งที่ยังน้อย และประชากรที่อยู่ในวัยทำงานมาก ส่วนการเจรจาการลงทุนที่ประเทศลาวยังอยู่ระหว่างการเจรจา เช่นเดียวกับการซื้อ TESCO ที่ยังรอการพิจารณาจากหน่วยงานภาครัฐอีกครั้ง สำหรับแผนการเปิดสาขาใหม่เบื้องต้นยังตั้งไว้ที่ระดับ 700 สาขาอยู่ แต่อาจจะมีการ พิจารณาอีกครั้งจากผลกระทบของการระบาดของโรค ส่วนมาตรการที่นำมาใช้ ในช่วงนี้เพื่อให้ยอดขายยังขยายตัวได้ทาง CPALL มีการทำรายการส่งเสริมการขายมากขึ้น รวมถึงการปรับขนาดสินค้าให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น และเพิ่มช่องทางการขาย ผ่านระบบ Online มากขึ้น
ปรับประมาณการลงเล็กน้อย
จากแนวโน้มผลประกอบการที่ชะลอตัวลงในงวด 1Q20 และช่วง 2Q20 ที่คาดว่าจะเห็นผลกระทบที่มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย. ทำให้เราปรับประมาณการรายได้และกำไรสุทธิลงมาอยู่ที่ 563,221 ลบ. (+2%YoY) และ 21,930 ลบ. ( - 2%YoY) ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่ระดับ - 1 % ส าหรับคำแนะนำการลงทุน ระยะสั้นคาดว่า CPALL จะได้รับผลกระทบจากโรค COVID โดยเฉพาะในช่วง 2Q20 แต่ระยะยาวคาดว่าหลังจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว รวมถึงการขยายไปยังต่างประเทศจะทำให้ผลประกอบการมีโอกาสกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง เราจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อเมื่ออ่อนตัว ” แทน โดยประเมิน มูลค่าเหมาะสมได้ใหม่ 74.5 บาท (32XPER’20E)
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th
ดูกราฟหุ้น CPALL
https://th.investing.com/equities/cp-all
กระทู้พูดคุยเรื่องหุ้น CPALL