นายคริส เวลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในการประชุมนโยบายการเงินเดือนนี้
"ผมขอสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในการประชุมครั้งนี้เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับที่สามารถกดดันอุปสงค์" นายเวลเลอร์กล่าวตลาดจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันที่ 13 ก.ย. โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 14% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
บิตคอยน์ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 21,000 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโทเคอร์เรนซี
ณ เวลา 23.48 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์พุ่งขึ้น 9.79% สู่ระดับ 21,236.25 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase (NASDAQ:COIN)
นอกจากนี้ บิตคอยน์ได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท รวมทั้งการคาดการณ์ว่า สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ชะลอตัวลงในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
การพุ่งขึ้นในวันนี้ทำให้บิตคอยน์มีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ดีที่สุดในรอบ 1 เดือน และเป็นการดีดตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2
อย่างไรก็ดี บิตคอยน์ยังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 69,000 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย.2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.2565 ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลจะฉุดสภาพคล่องในตลาด และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย
หลังสำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ระบุว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต ขณะทรงมีพระชนมายุ 96 พรรษา บรรดาผู้นำโลกตลอดจนประชาชนชาวอังกฤษและทั่วโลกต่างร่วมไว้อาลัยเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีฯ ผู้เป็นศูนย์รวมใจคนทั้งชาติมามากกว่า 70 ปี
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวานนี้ (8 ก.ย.) ประชาชนนับพันมารวมตัวกัน ณ กรุงลอนดอนท่ามกลางฝนโปรยปราย เพื่อวางดอกไม้แสดงความไว้อาลัยที่ประตูรั้วเหล็กนอกพระราชวังบักกิงแฮม เช่นเดียวกันกับที่ปราสาทวินด์เซอร์ อันเป็นพระราชฐานของควีนเอลิซาเบธ
พระบรมฉายาลักษณ์ของควีนเอลิซาเบธได้ถูกนำขึ้นแสดงบนจอบิลบอร์ด ณ พิคะดิลีเซอร์เคิสกลางกรุงลอนดอนและที่คะแนรีวอร์ฟอันเป็นย่านการเงิน รวมไปถึงที่ตึกไทม์สแควร์ในนิวยอร์กของสหรัฐ และประชาชนได้นำดอกไม้มาวางเพื่อแสดงความไว้อาลัยนอกสถานกงสุลอังกฤษในนครนิวยอร์กด้วย
ที่ฝรั่งเศสนั้น มีการปิดไฟหอไอเฟลเพื่อแสดงความไว้อาลัย ส่วนในกรุงเบอร์ลินประชาชนพากันมาวางดอกไม้และจุดเทียนนอกสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ขณะที่ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มีการเปิดเพลงชาติอังกฤษ "God Save the Queen" นอกอาคารเทศกาล
ส่วนที่กรุงวอชิงตัน ทางการได้ลดธงชาติสหรัฐลงครึ่งเสา เพื่อแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของควีนเอลิซาเบธ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งออกแถลงการณ์ระบุว่า "ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นนิจ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นมิ่งขวัญและความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษหลายชั่วอายุคน รวมถึงพสกนิกรอีกมากที่ไม่เคยรู้จักประเทศของตนในแบบที่ปราศจากพระองค์ พระเกียรติคุณจักปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษและเรื่องเล่าขานในโลกของเราสืบไป"
จีนยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.นี้ โดยทางการจีนได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางภายในประเทศเพิ่มเติม แม้หลายพื้นที่ของประเทศยังคงตกอยู่ภายใต้คำสั่งล็อกดาวน์อันเข้มงวด
ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) ว่า จะมีการบังคับใช้มาตรการสกัดโควิด-19 ถึงสิ้นเดือนต.ค. เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้แทบไม่มีสัญญาณคลี่คลายลง โดยทางการแจ้งให้ประชาชนเดินทางเท่าที่จำเป็นในช่วงวันหยุดเทศกาลไหว้พระจันทร์สัปดาห์หน้าและวันชาติในเดือนต.ค. ซึ่งปกติแล้วเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งยังกำชับให้รัฐบาลท้องถิ่นตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนทุกคนเป็นประจำโดยไม่คำนึงถึงระดับของการติดเชื้อ
การบังคับใช้คำสั่งล็อกดาวน์และมาตรการจำกัดโควิด-19 ด้านอื่น ๆ ทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงในนครเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 6 ของจีน โดยมีประชากร 21 ล้านคน และบางพื้นที่ของนครกุ้ยหยาง ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดขนาดใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีประชาชนถึง 400,000 คนอาศัยอยู่ในอาคาร 300 แห่ง ขณะที่กรุงปักกิ่งยกระดับการคุมเข้มการเดินทางสำหรับทุกคนที่เดินทางเข้าออกมหานครหลวงแห่งนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นโยบายเหล่านี้ดูเหมือนกำหนดมาเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนถึงการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี โดยปีนี้ความพิเศษอยู่ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงมีแนวโน้มจะกุมอำนาจผู้นำประเทศต่อเป็นสมัยที่ 3 โดยถือเป็นการท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าประธานาธิบดีแต่ละคนสามารถรั้งตำแหน่งผู้นำแดนมังกรได้เพียง 2 สมัย รวมทั้งสิ้น 10 ปี ก่อนจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2561
มาตรการสกัดโควิด-19 ดังกล่าวตอกย้ำเป้าหมายของรัฐบาลจีนในการขจัดโรคระบาดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมพุ่งทะยานขึ้น โดยนักเศรษฐศาตร์หลายรายแสดงมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีนมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภายหลัง โดยบริษัทโนมูระ โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า จีนจะยึดมั่นต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ถึงปี 2566 เป็นอย่างน้อย
จีนตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,292 รายในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) โดยตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 1,000 รายมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แม้จะถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ความยากลำบากในการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างสมบูรณ์ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความยากที่การบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์จะสัมฤทธิ์ผล ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์หลายชนิด
สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของรัฐบาลเกาหลีเหนือนำเสนอถ้อยแถลงของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ โดยเขาประกาศว่าเกาหลีเหนือจะไม่ล้มเลิกโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมกล่าวหาว่า สหรัฐตั้งเป้าที่จะทำให้ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือล่มสลาย
ทั้งนี้ นายคิมได้ประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ในขณะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสภาประชาชนสูงสุด หลังเห็นชอบต่อกฎหมายที่บรรจุรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายการใช้กองกำลังนิวเคลียร์
กฎหมายดังกล่าวระบุว่า กองกำลังนิวเคลียร์ของประเทศจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายคิมในฐานะผู้นำสูงสุด ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดทั้งหมดเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้ ในกรณีที่ระบบคำสั่งและการควบคุมกองกำลังนิวเคลียร์ของรัฐตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากการโจมตีของกองกำลังที่เป็นศัตรู จะมีการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยอัตโนมัติในทันที เพื่อทำลายกองกำลังที่เป็นศัตรู
KCNA กล่าวว่า สถานะของประเทศในฐานะรัฐอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายกองกำลังนิวเคลียร์ไปแล้ว
ทั้งนี้ คาดการณ์กันว่าเกาหลีเหนือได้เสร็จสิ้นการเตรียมการสำหรับการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 แล้ว โดยมีแนวโน้มที่จะดำเนินการทดสอบในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2560
กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศถอนทหารออกจาก 2 พื้นที่ในแคว้นคาร์คิฟ ทางตะวันออกของยูเครน หลังกองทัพยูเครนเครนได้ดำเนินการโจมตีตอบโต้อย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากยูเครนเดินหน้าบุกแคว้นคาร์คิฟ ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศมานานหลายวัน และอาจกลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกองกำลังยูเครน นับตั้งแต่พวกเขาพยายามขัดขวางรัสเซียในการยึดกรุงเคียฟในช่วงเริ่มต้นสงคราม
นายอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า กองกำลังรัสเซียจะถอนกำลังออกจากเมืองบาลาคลียา และเมืองอิซยุม ไปยังแคว้นโดเนตสก์ โดยเมืองอิซยุมเป็นฐานทัพใหญ่สำหรับกองกำลังรัสเซียในแคว้นคาร์คิฟ
ทั้งนี้ นายโคนาเชนคอฟเสริมว่า ความเคลื่อนไหวของรัสเซียมีขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของปฏิบัติการพิเศษทางทหาร เพื่อปลดปล่อยแคว้นดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน(NHC) รายงานว่า จีนพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศเพิ่มอีก 179 รายในวันเสาร์ (10 ก.ย.) ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในมณฑลเสฉวน 97 ราย และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน 21 ราย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนนยังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ชนิดไม่แสดงอาการเพิ่มขึ้น 959 ราย
ขณะเดียวกัน จีนมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ออกจากโรงพยาบาลหลังหายดี เพิ่มอีกจำนวน 574 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยหายดีสะสมอยู่ที่ 235,656 ราย เมื่อนับถึงวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 5,226 ราย
เงินบาทพลิกแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางค่าเงินหยวน หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองสกุลเงินตราต่างประเทศที่สถาบันการเงินต้องดำรงไว้ลง ซึ่งทำให้ตลาดตีความว่าเป็นความพยายามเพื่อชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน
อย่างไรก็ดีเงินบาทและสกุลเงินอื่นในเอเชียกลับมาเผชิญแรงขายช่วงสั้นๆ ในช่วงกลางสัปดาห์ ตามสถานการณ์เงินเยน (อ่อนค่าสุดในรอบ 24 ปี) และเงินหยวน (อ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี) ซึ่งถูกกดดันจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งมีทิศทางแตกต่างไปจากสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
นอกจากนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตร โดยเมื่อระหว่างวันที่ 5-9 ก.ย. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยสูงถึง 10,935 ล้านบาท แต่ขายสุทธิหุ้นไทย 5,204 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณคุมเข้มต่อเนื่อง แต่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพิ่มเติมช่วงปลายสัปดาห์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินยูโร หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps. ตามที่ตลาดคาด และส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสกัดแรงกดดันเงินเฟ้อของยูโรโซนซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในระยะข้างหน้าตามทิศทางราคาพลังงาน
สำหรับในสัปดาห์นี้ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ กระแสเงินทุนต่างชาติ และผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคานำเข้าและราคาส่งออก ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของอังกฤษและยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนส.ค. ด้วยเช่นกัน
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI อาจเพิ่มขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงเมื่อเทียบกับระดับ 8.5% ในเดือนก.ค.
ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 57% ในสัปดาห์ก่อน
การเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟดมีขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคบริการที่แข็งแกร่ง โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 55.5 จากระดับ 56.7 ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันคาโตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดมีความมุ่งมั่น "อย่างแรงกล้า" ในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดหวังว่าการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่สูงเกินไป
นอกจากนี้ นายพาวเวลระบุว่า การยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้