การกอดคอพากันลงระหว่างราคาทองคำกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้วสร้างความสับสนให้กับนักลงทุนและนักวิเคราะห์เป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ECL SALES ถึงกับออกมาพูดว่า “ทองคำขึ้นดอลลาร์ลงคือเรื่องปกติ แต่การที่ทองคำลงดอลลาร์ลงก็คือคือเรื่องอะไร!!!”
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าสาเหตุของการร่วงลงในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่ดีขึ้นแต่เป็นเพราะดอลลาร์เมื่อถูกลงทำให้คนไม่มีศักยภาพพอที่จะนำดอลลาร์ไปแลกกับกับทองคำที่มีมูลค่าสูงขนาดนั้น เมื่อความสามารถในการซื้อทองคำเพื่อถือครองลดลงจึงทำให้ราคาทองคำปรับตัวร่วงกลับลงมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น
“นอกจากผู้คนไม่สามารถใช้ดอลลาร์ที่อ่อนมูลค่าลงในการซื้อทองได้แล้วราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมายังถูกเทขายจากความวิตกของนักลงทุนที่กลัวว่าราคาทองคำได้ขึ้นมาสูงเกินไป ถึงเวลาที่ทองคำต้องกลับลงสู่ความเป็นจริงบ้างก็เท่านั้น” นายแอนโทนี่ แดนลานี่ กล่าว
แต่จะเป็นไปได้อีกหรือไม่ที่นักลงทุนกลุ่มเดิมๆ จะเชื่อว่าทองคำยังคงมีความต้องการอยู่ในตอนนี้? การซื้อทองคำในตอนนี้จะพาให้ราคาทองคำสามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของราคาเมื่อปี 2012 ได้หรือไม่? หรือต่อให้ทำได้การดีดตัวกลับขึ้นไปของราคาทองคำในรอบนี้คือของจริงหรือแค่หลอกนักลงทุนให้เชื่อว่าในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายให้ถือทองคำเอาไว้ก่อน?
ตอนนี้นักลงทุนต่างคาดหวังให้ราคาทองคำดีดตัวกลับขึ้นมาแต่ในขณะเดียวกันก็คาดหวังให้ตลาดหุ้นเป็นเช่นนั้นด้วย ถามว่าในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นไหม? คำตอบคือเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถ้าจะให้แน่ใจจริงๆ ว่าทองคำจะสามารถขึ้นต่อไปได้ต้องรอให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อนในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้จึงจะสามารถยืนยันได้ว่าขาขึ้นของทองคำมีอนาคตแน่นอน
ราคาทองคำร่วงลงจากจุดสูงสุดในรอบ 7 ปีลงมาสู่แนวรับซึ่งเป็นจุดสูงสุดระหว่างเดือนสิงหาคม - กันยายนและยังมีเส้นค่าเฉลี่ย 50DMA ทำหน้าที่เป็นแนวรับสำรองให้อีกหนึ่งแนว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาทองคำได้ลงมาถึงโซนราคาบริเวณนี้และมีปฏิกริยาดีดกลับทันทีและในวันจันทร์ช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดราคาทองคำก็มุ่งหน้าขึ้นต่อจนสามารถขึ้นมาได้ครึ่งแท่งของแท่งเทียนขาลงเมื่อวันศุกร์ สร้างรูปแบบ Peak & Trough อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
หากวิเคราะห์จากกราฟเพียงลำพังจะพบว่าทั้งแท่งเทียน เส้นค่าเฉลี่ยและรูปแบบการวิ่งของราคาล้วนแล้วแต่จะทำให้นักลงทุนเชื่อว่านี่คือรูปแบบของกราฟขาขึ้น แต่เมื่อพิจารณาอินดิเคเตอร์อย่าง MACD และ RSI จะพบว่าอินดิเคเตอร์ทั้งสองยังให้สัญญาณของขาลงอยู่ การที่กราฟและอินดิเคเตอร์ให้ข้อมูลไม่ตรงกันแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากพอ ดังนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้เราจึงอยากสรุปว่าให้เชื่อรูปแบบของราคา (price action) เอาไว้ก่อนที่จะเชื่ออินดิเคเตอร์
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่ากราฟและอินดิเคเตอร์ให้สัญญาณไปในทิศทางเดียวกันและจะรอให้สถานการณ์ระหว่างตลาดทองคำและตลาดหุ้นกลับเป็นปกติ (ทองคำขึ้นหุ้นต้องลง) นอกจากนี้ยังจะรอให้อินดิเคเตอร์อย่าง RSI และ MACD ส่งสัญญาณของขาขึ้นด้วย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะลองเสี่ยงเข้าซื้อต่อเมื่อราคาลงไปถึงระดับราคา $1,570 ซึ่งเป็นแนวรับของจุดต่ำสุดเมื่อวานหรืออย่างน้อยลงไปถึง $1,590 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะเข้าซื้อเลยเมื่อต้องการโดยรับทราบถึงความเสี่ยงในกรณีที่กราฟปรับตัวลดลงอีกหนึ่งรอบ
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $1.600
- Stop-Loss: $1,570
- ความเสี่ยง: $30
- เป้าหมายในการทำกำไร: $1,690
- ผลตอบแทน: $90
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3