ข่าวการประชุมของประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสร้างความหวังให้กับนักลงทุนในราคาน้ำมันเป็นอย่างมากว่าจะสามารถช่วยเหลือบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการทำสงครามตัดราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย นักลงทุนกลุ่มนี้หวังว่าผลการประชุมจะช่วยไม่ให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ต้องตัดสินใจลดเงินปันผลลง
สนธิสัญญาครั้งนี้ต้องขอบคุณสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากที่ช่วยเป็นคนกลางเจรจาประสานรอยร้าวระหว่างประเทศทั้งสองได้ เพราะสหรัฐฯ เองก็ไม่ต้องการทำศึกสองด้าน ไหนจะต้องรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศแล้วยังต้องรับมือกับสงครามราคาน้ำมันที่สร้างผลกระทบให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของประเทศที่อยู่ทางอเมริกาเหนือ
ราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมามีราคาปิดอยู่ที่ $22.76 บาร์เรล ปรับตัวลดลงมา 63% นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020 ซึ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันในมิดแลนด์ เท็กซัสเลวร้ายก็ที่เห็นราคาในตลาด ที่ทางตะวันตกของแคนาดาซึ่งเป็นทางเดียวที่แคนาดาสามารถส่งออกน้ำมันมาได้พบว่าราคาน้ำมันลดลงไปต่ำกว่า $10 ต่อบาร์เรล ปัจจุบันในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงอีก 1% มีราคาเทรดอยู่ที่ $22.59
คำถามที่นักลงทุนในกลุ่มบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเช่น เอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) เชวฟรอน (NYSE:NYSE:CVX) รอยัล ดัช เชลล์ (NYSE:RDSa)
ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงระดับโลกจะไม่เคยผ่านมรสุมทางเศรษฐกิจหรือปัญหาทางการเงินมาก่อน แต่ทุกครั้งที่ผ่านมาการลดเงินปันผลของนักลงทุนจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่บริษัทเลือกจะทำ ไม่ใช่เช่นนั้นแล้วหุ้นของบริษัทจะหมดความน่าสนใจ ความน่าเชื่อถือและร่วงลงอย่างไม่ต้องสงสัย ในปี 2019 บริษัทผู้ผลิตน้ำมันท๊อป 5 ของสหรัฐฯ ยอมเป็นหนี้อีก $2,500 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้บริษัทยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่อไปได้
CNBC.com รายงานว่าในปี 2019 บริษัทชื่อดังอย่าง เอ็กซอน โมบิล, เชวฟรอน, รอยัล ดัช เชลล์, โททอล (NYSE:TOT) และ บีพี (NYSE:BP) เป็นหนี้รวมกันแล้วคิดเป็น $23,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 เป็นหนี้รวม $23,500 ล้านเหรียญเมื่อราคาน้ำมันร่วงลงไปต่ำกว่า $30 ต่อบาร์เรล
ในปี 2020 นี้แม้หุ้นของบริษัทจะร่วงลงเพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแต่เงินปันผลของนักลงทุนยังคงเพิ่มขึ้น หุ้นเอ็กซอน โมบิลร่วงลง 39% ในขณะที่เชวฟรอนลดลงเช่นกัน 29% แต่ทั้งคู่ยังมีอัตราการปันผลอยู่ที่ 8% และ 6% ตามลำดับ ล่าสุดราคาหุ้นเอ็กซอน โมบิล เมื่อวานนี้ปรับตัวลดลง 0.4% มีราคาอยู่ที่ $42.76 ในขณะที่หุ้นเชวฟรอนปรับตัวขึ้น 0.7% มีราคาปิดอยู่ที่ $84.91
แสงแห่งความหวังอันริบหรี่
อันที่จริงแล้วโอเปกก็ถือว่ามีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะหยุดยั้งราคาน้ำมันไม่ให้ลดต่ำลงไปมากกว่านี้แต่ความเป็นจริงที่ออกมาก็คือปริมาณความต้องการน้ำมันดิบยังคงถูกกดลงจากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถทำให้ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงได้
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการลดกำลังการผลิตเป็นเพียงการซื้อเวลาไม่ให้ราคาน้ำมันดิบลดลงไปมากกว่านี้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้าตอนนี้ไม่มีการผลิตน้ำมันออกมาอีกเลยและใช้น้ำมันดิบที่มีอยู่ในคลังพบว่าในสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบอาจจะกลับขึ้นไปที่ $40 ได้
เอ็ด มอร์ส นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปแสดงความคิดเห็นว่า “ถ้าจะให้สร้างสถานที่กักเก็บน้ำมันที่สามารถเก็บน้ำมันได้มากกว่า 1 พันล้านบาร์เรลเพิ่มภายในช่วงกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันดิบเอาไว้ไม่ให้ลงไปเหลือเลขหลักเดียวแล้วละก็...ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปที่จะทำอย่างนั้นแล้ว แต่ในมุมมองของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ พวกเขาล้วนแล้วเคยผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 มาแล้ว”
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์มีความเห็นคล้ายกันว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้มีประสบการณ์มากพอที่จะสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยไม่จำเป็นต้องลดเงินปันผลลง CEO ของเอ็กซอน โมบิล นายดาร์เรน วูด ได้กล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 5 มีนาคมว่า “เราเป็นบริษัทที่เชื่อถือได้และมีอัตราการเติบโตในตัวเลขของการปันผลมาตลอดทุกปี” ในขณะที่ CEO ของเชวฟรอนกล่าวในทำนองเดียวกันว่าบริษัทจะเพิ่มเปอร์เซนต์ในการปันผลประจำปีซึ่งผู้ถือหุ้นทุกคนจะได้รับอย่างแน่นอนในการปันผลครั้งที่ 33 ในปี 2020 นี้
การเรียกความเชื่อมั่นดังกล่าวของ CEO ทั้ง 2 บริษัทส่งผลให้หุ้นของเอ็กซอน โมบิลและเชวฟรอนเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยสรุปแล้ว…
ไม่มีใครในตอนนี้สามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดราคาน้ำมันดิบที่ผันผวนเป็นอย่างมากในตอนนี้ได้เพราะช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานนั้นกว้างเกินไป อย่างไรก็ตามการกลับมาจับมือกันอีกครั้งของซาอุดิอาระเบียและรัสเซียก็รับประกันไปได้เปราะหนึ่งแล้วว่าผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ไม่ต้องกังวลในประเด็นของโอเปกอีกต่อไป ตอนนี้เหลือเพียงแค่จับตาดูว่าเมื่อไหร่ที่ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ จะลดลงและมนุษยชาติจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง