ในอดีต ทุกครั้งที่มีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ออกมาแต่ละครั้ง หุ้นของ Apple (NASDAQ:AAPL) ก็จะดีดตัวสูงขึ้นพร้อมๆ กับความคลั่งไคล้ของบรรดาสาวกที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัท เมื่อวานนี้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประจำปี ซึ่งมักจะจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริษัทได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวใหม่ออกมาสามรุ่น คือ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
กราฟหุ้นรายเดือนของ AAPL ในช่วงปี 2006-2019
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวในครั้งนี้ไม่ได้มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมตัวใหม่นี้ให้ได้ตื่นเต้นกันแต่อย่างใด แต่เป็นการเปิดเผยแผนการที่จะเข้าร่วมในตลาดวิดีโอสตรีมมิงด้วยข้อเสนอที่มุ่งตัดราคาคู่แข่งเสียมากกว่า
Apple กำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่ยอดขาย iPhone ไม่สามารถทำรายได้ให้บริษัทเป็นกอบเป็นกำได้เหมือนเคยอีกแล้วจริงหรือ?
การลดลงของยอดขาย iPhone
รายงานผลประกอบการ ในรอบสามไตรมาสที่ผ่านมาของ Apple จะเป็นตัวเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้ ยอดขายโทรศัพท์ iPhone ของทั้งสามไตรมาสที่ผ่านมาปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนเทศกาลวันหยุดในไตรมาสที่ 4 ก็มักจะเป็นช่วงที่ Apple สามารถสร้างยอดได้ดีที่สุด ผลปรากฎว่าในไตรมาสแรก Apple มียอดขายลดลง 15% จาก 61,100 ล้านเหรียญเหลือ 51,900 ล้านเหรียญ ไตรมาสถัดมายอดขายลดลง 17% และในไตรมาสล่าสุดที่สิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ยอดขายลดลงไปอีก 12%
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว แม้ว่า iPhone รุ่นใหม่ๆ จะมีการพัฒนากล้องให้ดีขึ้น ชิปประมวลผลที่เร็วขึ้น ระบบปฏิบัติการใหม่ รวมทั้งสีใหม่ๆ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่ได้เป็นสุดยอดนวัตกรรมที่สร้างความสั่นสะเทือนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมได้อีกแล้ว ในอดีตนวัตกรรมใหม่ของ iPhone จะเป็นตัวกระตุ้นให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นได้
หลังจากปี 2016 และ 2017 ซึ่งยังไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมามากนัก Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone X ออกมาในเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ถึง 13% ทันทีที่มีการวางจำหน่าย และในไตรมาสถัดมาก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 14% รวมทั้งในไตรมาสที่สามหลังการวางจำหน่ายยอดขายก็เพิ่มขึ้นอีก 20% แม้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวใหม่จะเพิ่งเปิดตัวออกมาในปี 2019 แต่ลูกค้าก็เริ่มจะคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ถึงรุ่นต่อไปในปี 2020 กันแล้ว
นักวิเคราะห์คนดัง หมิง ฉี กั๊วะ ซึ่งเป็นบุคคลที่ทราบกันดีว่ามีข้อมูลวงในและเป็นนักพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในก้าวต่อไปของ Apple ได้อย่างแม่นยำมากที่สุดคนหนึ่งได้เปิดเผยข้อมูลออกมาว่า iPhone ในรุ่นต่อไปจะมีการออกแบบรูปโฉมใหม่และสามารถรองรับระบบ 5G ได้ ด้วยจำนวนฐานลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์ของ Apple ยังมีอยู่จำนวนมาก จึงน่าจะทำให้ Apple สามารถทำรายได้จากยอดขาย iPhone ในปีหน้าได้มากขึ้นอีกครั้ง
ข้อมูลจากผลการสำรวจในสองครั้งที่ผ่านมาล่าสุดพบว่า ผู้ใช้ iPhone 90% คิดว่าโทรศัพท์ที่จะใช้เป็นเครื่องต่อไปก็จะยังเป็น iPhone ซึ่งตัวเลขที่ออกมามีค่าสูงกว่า Samsung’s (OTC:SSNLF) ที่ 86% หรือ Google Pixel ซึ่งมีอยู่ 84% ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าลูกค้ายังไม่ได้หนีหายจาก Apple ไปไหน แต่กำลังรอให้ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่เท่านั้นเอง
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นาฬิกาและบริการต่างๆ ของ Apple ยังคงทำยอดได้ดี
ในช่วงปี 2016-2018 รายได้ของ Apple มาจากยอดขาย iPhone ราว 65% แต่ในปี 2019 ยอดขายในแต่ละกลุ่มสินค้ากลับมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ยอดขาย iPhone คิดเป็นสัดส่วนเพียง 55% ของยอดขายทั้งหมดของ Apple แต่ก็นับว่ายังคงดีอยู่ และ Apple ก็ยังพยายามที่จะเพิ่มรายได้ในไตรมาสที่ 3 ให้มากขึ้นอีก
ธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์นาฬิกาของบริษัท ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลักคือ iWatch และ Airpods ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ทำให้ Apple สามารถมีรายได้จากส่วนนี้มาทดแทนยอดขายของ iPhone ที่ลดลงได้ ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจในกลุ่มนาฬิกาเติบโตขึ้น 37% จาก 13,100 ล้านเหรียญเป็น 17,900 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้วยอดขายของธุรกิจกลุ่มนี้ยังทำรายได้เพียง 9.6 พันล้านเหรียญเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า Apple ยังสามารถใช้ผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาทำตลาดในกลุ่มฐานลูกค้าที่ยังชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ iPhone ต่อไปได้ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนาฬิกาสามารถทำรายได้คิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมดของ Apple ในปี 2017 และเพิ่มขึ้นมาเป็น 10% ในปี 2018 จากนั้นในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมาล่าสุดก็สามารถทำรายได้สูงขึ้นมาเป็น 16% ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนั้นแล้ว รายได้ในส่วนธุรกิจบริการของ Apple ก็เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์อีกด้วย โดยในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ธุรกิจบริการสร้างรายได้ถึง 33,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่เคยทำได้ และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 16%
ธุรกิจในกลุ่มบริการของ Apple ยังสามารถเติบโตไปได้อีกมาก เริ่มต้นจากบริการวิดีโอสตรีมมิงซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวในวันที่ 1 พฤศจิกายนและจะเข้าแข่งขันกับคู่แข่งด้วยการตัดราคาค่าบริการให้เหลือเพียง $4.99 ซึ่งจะต่ำกว่าทั้ง Netflix (NASDAQ:NFLX) และ Disney
นอกจากนี้ Apple ก็เพิ่งเปิดตัวบัตรเครดิตร่วมกับธนาคาร Goldman Sachs และเตรียมเปิดตัวบริการ Apple Arcade ซึ่งเป็นการเปิดให้สมัครใช้บริการเกมในราคา $4.99 ที่น่าจะถูกใจคอเกมของ iPhone เป็นอย่างมากเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งธุรกิจในส่วนของนาฬิกาและบริการต่างๆ ก็ยังคงต้องพึ่งพา iPhone เป็นหลัก แต่การออกโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ในแต่ละปีก็ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าบริษัทจะเติบโตขึ้นได้ แม้ว่าจะมีกลุ่มฐานลูกค้าเดิมที่น่าจะกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำอีกอยู่ก็ตาม
บทสรุป
Apple ไม่จำเป็นจะต้องเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่มีนวัตกรรมสุดล้ำยุคออกมาทุกปีเพื่อคงความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ทำกำไรมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก เพราะในความเป็นจริงแล้ว Apple กำลังปรับตัวอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วยการขยายและกระจายบริการต่างๆ ต่อยอดออกจาก iPhone เพราะรู้ดีว่าโลกกำลังเฝ้ารอและต้องการสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นสูตรลับของ Apple ก็คือการทำให้ผู้คนจงรักภักดีกับระบบและแบรนด์ของตนเอง ซึ่งยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทมาอย่างต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า