ภาพรวมตลาดฟอเร็กซ์ประจำวันที่ 21 มีนาคม 2019
โดย Kathy Lien กรรมการผู้จัดการกลยุทธ์ฟอเร็กซ์จาก BK Asset Management
ดูเหมือนว่าการสงวนท่าทีของเฟดน่าจะส่งผลในทางลบให้แก่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แทนที่จะดิ่งลงไปอีกจากเมื่อวันพุธ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เด้งกลับเมื่อซื้อขายคู่กับสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งตัวเลขภาคอุตสาหกรรมใน รัฐฟิลาเดลเฟีย ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ที่ลดลง อีกทั้งเครื่องมือชี้วัดที่บ่งชี้ถึงขาขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนแรงเด้งกลับในครั้งนี้ แต่จากที่เฟดยังเตรียมการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหากเศรษฐกิจเริ่มมีความแข็งแกร่งมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าความกังวลของเฟดมีมากเพียงใด คู่ USD/JPY ก็ได้รับแรงหนุนจากการพลิกฟื้นในตลาดหุ้น แต่น่าจะชะลอตัวที่ใกล้ระดับ 111 เพราะขาลงเมื่อวันพุธทำให้ภาพรวมของคู่สกุลเงินเปลี่ยนแปลง นอกจากแผนการของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะคง อัตราดอกเบี้ย ไว้ดังเดิมไปตลอดทั้งปีนี้แล้ว การเจรจาทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเร็ว ๆ นี้ โดยสหรัฐฯ จะส่งตัวนายมนูชินและนายไลท์ไฮเซอร์ไปเยือนประเทศจีนในสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าร่วมเจรจาทางการค้า แต่จากรายงานล่าสุดที่ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้จีนซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกสองหรือสามเท่า การสรุปข้อตกลงจึงยังมีหนทางอีกยาวไกล ฉะนั้นบริเวณระหว่าง 111.00 ถึง 111.25 อาจเป็นจังหวะที่ดีถ้าต้องการเข้าซื้อสัญญาขาย USD/JPY เพิ่ม
ขณะเดียวกัน เงินปอนด์สเตอร์ลิง ก็ดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในปีนี้เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสาเหตุไม่ได้เกิดจาก แถลงการณ์นโยบายทางการเงิน ของธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งธนาคารกลางอังกฤษมีมติอย่างเอกฉันท์ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิม และได้กล่าวไว้ว่า Brexit อาจจุดชนวนให้นโยบายเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดก็ได้ ธนาคารกลางอังกฤษยังออกมาย้ำเตือนอีกว่าตัวเลขการเติบโตของตลาดแรงงานอาจลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากขณะนี้มีหลายบริษัทที่เริ่มใช้แผนการดำเนินงานเพื่อเตรียมรับมือกับกรณีที่ Brexit ไม่มีข้อตกลงแล้ว เงินปอนด์สเตอร์ลิงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังจากการประกาศผลพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย เพราะธนาคารกลางเผยว่า "อาจมีการปรับใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างค่อยเป็นค่อยไป" นอกจากนี้ ยอดค้าปลีก ของสหราชอาณาจักรก็ออกมาเกินคาดการณ์ เพิ่มขึ้น 0.4% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.4% แต่โชคไม่ดีที่ Brexit ยังคงเป็นชนวนสำคัญในขณะนี้ และคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคำตอบจากสหภาพยุโรปต่อคำขอของนายกเมย์ ที่ขอยืดเวลาในระยะสั้นถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2019 ซึ่งสหภาพยุโรปก็ไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนให้ง่าย ๆ ตัวแทนเจรจา Brexit จากสหภาพยุโรป นายมิเชล บาร์นิเยร์ ต้องการให้การยืดเวลาเป็นเงื่อนไขสำหรับกรณีที่การลงคะแนนเสียงมีทิศทางในแง่บวก ซึ่งหมายความว่าสหภาพยุโรปอาจยอมรับข้อตกลงปัจจุบันหรืออาจเกิดการถอนตัวโดยไม่มีข้อตกลงก็ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เงินปอนด์อังกฤษจะต้องประสบกับปัญหาอย่างใหญ่หลวง เราคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเรียกประชุมสหภาพยุโรปอย่างฉุกเฉินในสัปดาห์หน้า ยืดเยื้อความคลุมเครือของสถานการณ์ออกไปอีกและดึงให้ GBP/USD ลงไปต่ำกว่า 1.30
ธนาคารแห่งชาติสวิสเองก็ไม่เปลี่ยนแปลง นโยบายทางการเงิน เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจ นายจอร์แดน ประธานธนาคารแห่งชาติสวิสกล่าวว่าเขายังคงมองภาพรวมของปีนี้ในแง่ดีอยู่ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการเจรจาการทางค้า ปัญหาจากอิตาลีและ Brexit ทว่าการเด้งกลับของ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อ เงินยูโร ที่หักลบขาขึ้นจากเมื่อวันพุธไปถึง 70% ถ้าหากบรรดารายงาน EZ PMI อันได้แก่ (ภาคอุตสาหกรรม, ดัชนี และ ภาคกิจการบริการ) ออกมาแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างต่อเนื่อง เราอาจได้เห็นคู่สกุลเงิน EUR/USD ดิ่งทะลุระดับราคาที่ต่ำสุดจากเมื่อวันพุธ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงภาพรวมทางเทคนิคของคู่สกุลเงินไปโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าหากข้อมูลออกมาแข็งแกร่งก็จะเป็นการช่วยเสริมกำลังให้แก่อคติที่ต่อต้านเงินดอลลาร์ และหนุนให้ EUR/USD กลับขึ้นไปยืนเหนือ 1.14 ได้