จากความเคลื่อนไหวที่สำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ล่าสุด BYD (SZ:002594) (OTC:BYDDF) รายงานรายได้ประจำปี 2024 อยู่ที่ 107 พันล้านดอลลาร์ แซงหน้า Tesla (NASDAQ:TSLA) ไปประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งความสำเร็จนี้ได้เน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของ BYD บนเวทีโลก โดยเฉพาะในตลาดนอกสหรัฐฯ ที่มักเจอข้อจำกัดด้านการค้า
ความสำเร็จของ BYD มาจากนวัตกรรมล่าสุด เช่น ระบบชาร์จใหม่และรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยา ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งทางการตลาดของบริษัท
ขณะเดียวกัน Tesla กลับกำลังเผชิญกับยอดขายทั่วโลกที่ลดลง ส่วนแบ่งการตลาดหดตัว และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่สั่นคลอน โดยส่วนหนึ่งมาจากบทบาททางการเมืองของ CEO อีลอน มัสก์ แม้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างในระยะหลัง แต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทกำลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากคู่แข่งอย่าง BYD โดยเฉพาะในตลาดจีนและยุโรป
BYD ทำรายได้แซง Tesla ได้อย่างไร
การที่ BYD สามารถแซงรายได้ประจำปีของ Tesla ได้ ถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนรายนี้ในระดับโลก เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญกับนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันความสำเร็จของ BYD ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวระบบชาร์จพลังงานล้ำสมัย หรือกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลก
ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งในตลาดให้กับ BYD แต่ยังช่วยยกระดับบริษัทให้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Tesla แม้ BYD จะยังคงเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าในสหรัฐฯ แต่ความสำเร็จในภูมิภาคอื่น ๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและเติบโตของบริษัทในตลาดที่หลากหลาย
ในทางกลับกัน Tesla ซึ่งเคยเป็นผู้นำแบบไร้คู่แข่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กลับกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านที่คุกคามสถานะของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นยอดขายทั่วโลกที่ลดลง และส่วนแบ่งการตลาดที่หดตัว
ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงจากบทบาททางการเมืองของ อีลอน มัสก์ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ Tesla แม้บริษัทจะพยายามฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นก็ยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมอยู่มาก สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต แรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง BYD โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างจีนและยุโรป ก็ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับเส้นทางของ Tesla
สรุปสถานะหุ้น TSLA
หุ้นของ Tesla มีความผันผวนสูงในช่วงที่บริษัทเผชิญปัญหาทั้งภายในและภายนอก ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนตลาดปิด ราคาหุ้น Tesla อยู่ที่ 269.43 ดอลลาร์ ลดลงจากราคาปิดก่อนหน้าที่ 288.14 ดอลลาร์ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หุ้น TSLA เคยแตะระดับต่ำสุดที่ 138.8 ดอลลาร์ และสูงสุดที่ 488.54 ดอลลาร์
ตัวชี้วัดสำคัญแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วน P/E แบบย้อนหลัง (trailing) อยู่ที่ 134.81 และอัตราส่วน P/E แบบคาดการณ์ล่วงหน้า (forward) อยู่ที่ 85.30 ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนยังคาดหวังผลประกอบการในอนาคตที่สูง มูลค่าตลาดของ Tesla ยังคงสูงมากที่ 888.92 พันล้านดอลลาร์ แต่สัดส่วนหนี้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (debt to equity ratio) อยู่ที่ 18.49 ซึ่งชี้ว่าบริษัทอาจมีจุดที่ต้องปรับปรุงด้านการเงิน
ในทางกลับกัน หุ้นของ BYD นั้นมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยวันนี้เปิดตลาดสูงกว่าราคาปิดก่อนหน้าที่ 53.00 ดอลลาร์ เทียบกับราคาปิดที่ 50.75 ดอลลาร์ และปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ 51.20 ดอลลาร์ แม้จะใกล้ระดับต่ำสุดของวัน แต่หุ้นของ BYD มีค่าเบต้า (beta) ต่ำ แสดงถึงความผันผวนต่ำกว่าตลาดโดยรวม อัตราส่วน P/E แบบย้อนหลังอยู่ที่ 26.81 ขณะที่แบบคาดการณ์ล่วงหน้าอยู่ที่ 2.76 บ่งชี้ว่ามีการคาดการณ์ว่าจะมีกำไรเติบโตในอนาคต
BYD มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 155.41 พันล้านดอลลาร์ และมีอัตราส่วนราคาต่อบัญชี (price to book) อยู่ที่ 0.87 ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทมีพื้นฐานมั่นคงสำหรับการเติบโตต่อไป แม้นักวิเคราะห์จะยังไม่มีคำแนะนำซื้อหรือขายที่ชัดเจน แสดงถึงมุมมองที่ระมัดระวังแต่ก็ยังคงเป็นบวกต่ออนาคตของบริษัท
***
ทั้งผู้เขียน Tim Fries หรือเว็ป The Tokenist และเว็บไซต์นี้มิได้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กรุณาอ่านนโยบายของเว็บไซต์ก่อนตัดสินใจทางการเงินใด ๆ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ The Tokenist คุณสามารถติดตามข่าวของ The Tokenist ได้ฟรีที่ Five Minute Finance เพื่อรับการวิเคราะห์รายสัปดาห์เกี่ยวกับแนวโน้มสำคัญในโลกการเงินและเทคโนโลยี