- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าหลุด 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ
- เตรียมรับมือความผันผวน ในช่วงตลาดรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึง การประชุม CEWC ของทางการจีน
- เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI เร่งตัวขึ้น ลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม หรือ ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ในส่วนของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง ซึ่งต้องรอลุ้นทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำ ที่จะผันผวนไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนจากเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจขึ้นกับผลการประชุม CEWC ของทางการจีน ว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมขนาดไหน ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนเงินบาทได้ เนื่องจากเราคาดว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย
- มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
33.80-34.50 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
- ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสราว 86% ในการเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25%-4.50% ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ออกมาสูงกว่าคาด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ จนอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ ซึ่งจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวน +0.5%/-0.4% ได้ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ
- ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราคาดว่า ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 3.00% อย่างไรก็ดี ECB อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เหมือนอย่างที่ผู้เล่นในตลาดกำลังคาดหวังอยู่ว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีกราว 5 ครั้ง ครั้งละ 25bps สู่ระดับ 1.75% ในปี 2025 พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของทั้ง BOE และ ECB โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในปี 2025
- ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI, ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุม Central Economic Work Conference (CEWC) ของทางการจีน ในช่วงวันอังคาร-วันพุธ อย่างใกล้ชิด ซึ่งการประชุม CEWC มักจะมีการประกาศเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจ รวมถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ทางฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจรายไตรมาส (BOJ Tankan Survey) ที่สำรวจโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในส่วนนโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.35% จนกว่าทาง RBA จะมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มชะลอลงสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน
- ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้น หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สำหรับแนวโน้มเงินบาทนั้น หากประเมินในเชิงเทคนิคัล โดยใช้กลยุทธ์ Trend-Following พบว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ตราบใดที่เงินบาท (USDTHB) ไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้างแถวโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้
นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือหรือลบโฆษณา
หุ้นตัวใดที่คุณควรซื้อในการเทรดครั้งถัดไป?
ด้วยการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงริ่วในปี 2024 ดังนั้นนักลงทุนจำนวนมากจึงไม่สบายใจที่จะนำเงินมาลงในหุ้นเพิ่มขึ้น ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนในหุ้นตัวใดต่อไปใช่ไหม? คุณสามารถเข้าถึงพอร์ตที่พิสูจน์แล้วของเราและค้นพบโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพสูง
เฉพาะในปี 2024 เพียงปีเดียว เทคโนโลยี AI ของ ProPicks AI ได้ระบุหุ้น 2 ตัวที่ราคาพุ่งขึ้นกว่า 150%, หุ้นเพิ่มเติมอีก 4 ตัวที่ดีดตัวขึ้นกว่า 30% และหุ้นอีก 3 ตัวที่ไต่ระดับขึ้นกว่า 25% เป็นสถิติที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
ด้วยพอร์ตลงทุนที่ปรับให้เหมาะสำหรับหุ้นดาวน์โจนส์, หุ้น S&P, หุ้นเทคฯ และหุ้นขนาดกลาง (Mid Cap) ต่าง ๆ ดังนั้นคุณจึงสามารถสำรวจกลยุทธ์ที่สร้างความมั่งคั่งต่าง ๆ ได้