ประเด็นที่อยู่ในความสนใจวันนี้น่าจะเป็นกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญจะ พิจารณาว่าจะรับหรือ ไม่รับ คำร้องให้วินิจฉัยพฤติกรรมของคุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ไว้พิจารณาหรือไม่ ส่วนประเด็นอื่นเป็นการประเมินแรง หนุนของเม็ดเงินสถาบันในประเทศ โดยในช่วงนี้อาจเห็นแรงที่สู้กันระหว่าง แรงขาย LTF และ แรงซื้อ THAILAND ESG FUND โดยในส่วนของ LTF พบว่ามีAUM คงค้าง 2.4 แสนล้านบาท เป็นส่วนที่สามารถขายได้ภายใน ปี 2567 จำนวน 1.67 แสนล้านบาท และในปี 2568 ก็สามารถขายได้ ทั้งหมด ส่วน THAILAND ESG FUND สิ้น ต.ค.67 มีAUM 1.16 หมื่น ล้านบาท แยกเป็นกองหุ้น 7.17 พันล้านบาท แต่ที่น่าสนใจพบว่าช่วง ส.ค.-ต.ค.67 เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นรวม 3.5 พันล้านบาท ถูกแยกเป็นซื้อกอง หุ้น และ ตราสารหนี้อย่างละครึ่ง ประเมินจากสถานะดังกล่าวดูเหมือนว่า แรงซื้อตลาดหุ้นไทยจากสถาบันฯ สุทธิยังดูไม่แข็งแรง แรงหนุนจาก FUND FLOW ทั้งจากสถาบันในประเทศ และ ต่างประเทศ ยัง ไม่แข็งแรง ขณะที่ปัจจัยการเมืองเป็นแรงกดดัน วันนี้คาดกรอบ SET INDEX 1435 –1450 จุด TOP PICK เลือก BPP, CPALL (BK:CPALL) และ INTUCH
ัจจัยภายนอกมีจุดไหนที่ควรต้องรู้บ้าง ... มาดูกัน วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯบวกเล็กน้อยราว 0.1-1% จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งใน สหรัฐฯวานนี้ ทั้งตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก(INITIAL JOBLESS CLAIM) ลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลข คาดการณ์ที่ระดับ 220,000 ราย และยอดขายบ้านมือสอง เดือนต.ค.67 ออกมาสูง ดีกว่าคาด เติบโต +3.4%MOM ดีกว่าคาดที่ +2.9%MOM และ ดีกว่าเดือนก่อนหน้า -1.0%MOM
ขณะที่มองในมุมความเสี่ยงการเกิด RECESSION 1 ปีข้างหน้า จะเห็นได้ว่า BLOOMBERG ปรับลดโอกาสการเกิด RECESSION ของสหรัฐลงเหลือ 25%
ประเด็นดังกล่าว หนุนให้ประธาน FED ในสาขาต่างๆ เริ่มมีมุมมอง HAWKISH มาก ขึ้นในเดือน พ.ย.67 เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือน ต.ค.67 รวมถึงคุณ PAWELL (ประธาน FED)
ส่วนอีก 1 ประเด็น คือ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (GEOPOLITICAL RISK) ยังคงรุนแรง อย่างต่อเนื่อง หลังมีการตอบโต้กันระหว่างยูเครน-รัสเซีย ซึ่งล่าสุด มีรายงานระบุว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) จากแคว้นอัสตราคันทางตอนใต้ของรัสเซียเพื่อ โจมตียูเครน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลชนิดนี้ (ICBM คือ ขีปนาวุธที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ติดหัวรบนิวเคลียร์) ประเด็น ดังกล่าวสร้างความกังวลต่อนักลงทุนว่าสงครามจะรุกรามเป็นวงกว้าง ดังนั้น จึง กดดันให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัวขึ้น และดันราคาน้ำมันดิบ BRENT / WTI วานนี้ราว 1.9% และ 1.4% ตามลำดับ
สรุป คาดว่า SET INDEX ในช่วงสั้นคาดถูกกดดันจาก SENTIMENT เชิงลบของ สงคราม และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง หนุน FLOW ไหลออกไปสหรัฐฯ และสิน ทรัยพ์ปลอดภัยอย่าง DOLLAR INDEX โดยวันนี้วางกรอบการเคลื่อนไหวของ SET 1435-1450 จุด
ศาล รธน. นัดพิจารณา 'รับ-ไม่รับ'6 คำร้องของทนายธีรยุทธ
ปัจจัยภายในประเทศ ยังมีประเด็นทางการเมืองไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมักมีผลต่อความผันผวนในตลาดหุ้น โดยก่อนหน้านี้ อสส. ไม่รับดำเนินการ คดีตรวจสอบพฤติกรรมของทักษิณและพรรคเพื่อไทย จาก 6 คำร้องของทนายธีร ยุทธ อย่างไรก็ตามในวันนี้ ยังต้องติดตามผลตำตัดสินของ ศาล รธน. ว่า 'รับ หรือ ไม่รับ' คำร้อง ซึ่งแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา คำร้องของนายธีรยุทธ มี ความเป็นไปได้ใน 3 แนวทาง ดังนี้ 1.รับคำร้องไว้พิจารณา 2.ไม่รับคำร้อง 3. รับคำร้อง แต่อาจจะรับเพียงบางคำร้องจาก 6 คำร้อง ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่าประเด็น OVERHANG ดังกล่าวจะกดดันให้ VOLUME ซื้อขาย วันนี้เบาบางกว่าปกติในช่วงเช้าจนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ที่แน่ชัด และส่งผลให้ SET แกว่งผัน ผวนในกรอบแคบ
โค้งท้ายของปี THAIESG ช่วยหนุนตลาดฯ ได้ไม่เต็มที่ โค้งสุดท้ายของปี นักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี อย่าลืมเข้าซื้อกองทุนประหยัด ภาษี ซึ่งปีนี้มีกองทุน THAIESG เป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นมาถึง 40 กองทุน และมีระยะเวลา ถือครองสั้นๆ เพียง 5 ปีเต็มก็สามารถขายได้ โดยมีวงเงินลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบาท กลับมาในส่วนตลาดหุ้น ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเม็ดเงินจากกองทุน THAIESG อาจช่วย หนุนตลาดหุ้นไทยได้ไม่เต็มที่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ต่อเนื่องถึงช่วงต้นปีหน้า ด้วย ปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. เม็ดเงินมีการเอนเอียงไปเข้ากองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้มากขึ้น สะท้อนได้จาก กองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้ มีเพียง 7 ใน 40 กองทุน แต่ติดอันดับ TOP 5 กองทุน THAIESG ที่ใหญ่ที่สุด ถึง 3 กองทุน
นอกจากนี้หากพิจารณา ทิศทางเม็ดเงินไหลเข้าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย. - ต.ค. 67) พบว่า มีการไหลเข้ากองทุน THAIESG ประเภทหุ้น และ ประเภทตราสารหนี้เท่าๆ กัน ราว 1.6 พันล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ทิศทาง เม็ดเงิน THAIESG มีโอกาสไหลเข้ามาในตลาดหุ้นครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดได้
2. เม็ดเงินที่ซื้อกองทุน THAIESG บางส่วนอาจมาจากการขายกองทุน LTF ที่ ครบกำหนดอายุ โดยเฉพาะในปี 2018 ที่สามารถขายคืนได้กว่า 7.66 หมื่น ล้านบาท แม้ต้นทุนกองทุน LTF ที่ซื้อในปี 2018 ส่วนใหญ่ยังขาดทุน โดย เฉลี่ยเทียบกับ SET INDEX ที่1678 จุด แต่เชื่อว่า ในช่วงที่เหลือของปีอาจมี นักลงทุนนำเงินส่วนนี้มาสลับเข้ากองทุน THAIESG แทน ทำให้เห็นเม็ดเงิน ขาย LTF บางส่วนออกมากดดันตลาดหุ้น และบางส่วนสลับไปเข้ากองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้แทนอีก
3. ต้นปีหน้า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญเม็ดเงิน LTF ทั้งหมดพร้อมขายได้ที่ 2.4 แสน ล้านบาท แม้เม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบจะลดลงมาตลอดจากปี 2019 ที่ 4.06 แสนล้านบาท และลดลงจน ปี 2023 เหลือ 2.65 แสนล้านบาท ลดลงต่อ จนปัจจุบัน ต.ค. 24 เหลือ 2.4 แสนล้านบาท แต่ถ้ามองในมุมเม็ดเงิน LTF ที่ พร้อมขายได้จะเห็นการเพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ 1.14 แสนล้านบาท, ปี2024 1.69 แสนล้านบาท และปี 2025 เม็ดเงิน LTF สามารถถูกขายคืนได้ทั้งหมด 2.41 แสนล้านบาท ดั้งนั้นเม็ดเงินพร้อมขาย LTF ปี 2025 ที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัย กดดันตลาดต่อในช่วงต้นปีหน้าได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักขายคืน กองทุนประหยัดภาษีในช่วงต้นปีมากสุด
สรุป ช่วงที่เหลือของปี คาดเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน THAIESG ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่ เต็มที่ เพราะอาจถูกแบ่งเข้าไปในตลาดตราสารหนี้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงตลาดหุ้นยังถูก กดดันจากการขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุ และบางส่วนสลับเข้ามาซื้อกองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้แทน นอกจากนี้ช่วงต้นปีหน้า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญ เม็ดเงิน LTF ทั้งหมดพร้อมขายได้ที่แล้วกว่า 2.4 แสนล้านบาท
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities