ผลประกอบการงวด 3Q67 ของบริษัทจดทะเบียนบ้านเราออกมาที่ 1.91 แสนล้านบาท -25% QOQ และ -32% YOY ต่ำกว่า BLOOMBERG CONSENSUS เกือบ 20% ภาวะดังกล่าวทำให้เปิด DOWNSIDE ของ ประมาณการกำไรทั้งปี 2567 และ 2568 อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราเห็นแรงเป็น กดดันต่อตลาด ส่วนภาพเศรษฐกิจไทยวันนี้จะประกาศ GDP GROWTH งวด 3Q67ซึ่ง CONSENSUS คาดว่าจะอยู่ที่ 2.4% YOY ถือว่าเป็นการ โตระดับต่ำ และหากจะเห็นการเติบโตทั้งปี 2567 ที่ 2.7% เชื่อว่าจะเห็น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นการแจกเงิน 10,000 บาท ระยะที่ 2 โดยกำหนดเป้าหมายแจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วน ภาพของตลาดหุ้นฯ ยังเห็นการปรับตัวขึ้นแบบกระจุกตัว ขณะที่ FUND FLOW ยังไม่เข้ามาหนุนทั้งจากต่างชาติ และ สถาบันในประเทศ ผลประกอบการ 3Q67 ที่ต่ำกว่าคาด และ FUND FLOW ที่ไม่กลับเข้ามา หนุนทั้งจากต่างชาติ และ สถาบันฯ ทำให้SET INDEX ยังผันผวน คาด กรอบ 1435 –1449 จุด TOP PICK เลือก CK, MAJOR และ SCGP
ปัจจัยแวดล้อมดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับตลาดหุ้น ศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกพากันชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ ปิดตัวในแดน ลบราว -0.7% ถึง -2.2% ส่วนในฝั่งยุโรปปรับตัวลดลง -0.1% ถึง -0.8% นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงราว 2.5% มาอยู่ที่ 67 เหรียญฯ / บาเรล โดยมีเหตุปัจจัย กดดันหลักๆ มาจากความกังวลว่า FED ไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูแข็งแร่ง บวกกับมีความเสี่ยง DEMAND อ่อนแอ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีน-อังกฤษล่าสุด ยังคงเห็นสัญญาณการฟื้นตัวได้ช้าลง ซึ่ง อาจตามมาด้วย DEMAND ที่ชะลอลง
• จีน ยังคงเห็นภาพของการฟื้นตัวที่ไม่แต็มที่ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ในช่วงปลาย ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดในเดือน ต.ค. 67 ราคาบ้านกลับหดตัวต่อเนื่องสู่ -5.9%YOY อีกทั้งการผลิต ภาคอุตสาหกรรมยังขยายตัวต่ำกว่าคาด ที่ +5.3%YOY
• อังกฤษ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจใน 3Q67 แค่ +0.1%QOQ ซึ่งต่ำกว่า ตลาดคาดที่ +0.2% และต่ำสุดในรอบ 4 ไตรมาส จากผลกระทบของดอกเบี้ย ที่ยืนอยู่ในระดับสูงมายาวนาน
ส่วนบ้านเรา เช้านี้เวลา 9.30 น. มีรายงานตัวเลข GDP GROWTH ใน 3Q67 โดย CONSENSUS คาด +2.4%YOY ทั้งนี้หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นปัจจัย กดดันตลาดหุ้นในช่วงสั้นๆ ได้ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง จะเหมือนเป็นการเร่งรัดให้มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ ตามเป้าหมาย
สรุป สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากที่ก่อนหน้านี้ เคยคาดหมายว่าตลาดหุ้นจะมี แรงหนุนเรื่องดอกเบี้ยขาลง แต่ล่าสุดเริ่มเห็นจุด TURNING POINT หลัง FED ส่ง สัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย ท่ามกลางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ (จีน, อังกฤษ) มี ความเสี่ยงชะลอตัวลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่เอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น
แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 ชงเคาะเข้าครม.19 พ.ย.นี้ ความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัลเฟส 2 ล่าสุด รมช.คลังเผยว่าเตรียมนำนโยบาย ดังกล่าว โดยจะเป็นการรับเงินสดก้อนเดียว 10,000 บาท เสนอต่อที่ประชุม ครม. 19 พ.ย.นี้ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1.8 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่มที่จะได้รับเงินนั้น คาด ว่าจะมีช่วงอายุ 50 ปีหรือ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความ เหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะมี ความสามารถในการหารายได้ที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามกลุ่มดังกล่าวจะต้องเป็น ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เท่านั้น และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินในเฟส แรก ไปแล้วจะถือว่าหมดสิทธ
ประเด็นดังกล่าว รมช.คลังคาดจะเป็นตัวชูโรงให้ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ ที่ระดับ 4.3-4.4%YOY เสริมด้วยการอัดฉีดหลายมาตรการกระตุ้นที่เตรียมไว้ในช่วง ปลายปี ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์และ SENTIMENTเชิงบวก คือ
• กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF CBG OSP ICHI M
• กลุ่มค้าปลีก CPALL (BK:CPALL) CRC BJC CPAXT
• กลุ่มเช่าซื้อ MTC SAWAD
กำไรงวด 3Q67 1.9 แสนล้านบาท ลดลง -25%QOQ และ - 32%YOY กำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 3Q67 ออกมา 1.9 แสนล้านบาท ลดลง -25%QOQ และ - 32%YOY โดยมีกลุ่มที่ขาดทุน คือ CONS, PETRO, STEEL เป็นต้น และกลุ่มที่กำไร ลดลงทั้ง QOQ และ YOY คือ ETRON, AUTO, PKG, CONMAT, ENERG, PERSON, MEDIA, TOURISM เป็นต้น
นอกจากนี้ กำไรงวด 3Q67 ยังต่ำกว่าที่ BLOOMBERG CONSENSUS คาดเกือบ 20% ทำให้ในช่วงนี้ น่าจะเห็นการทยอยปรับประมาณการกำไรปี 2567 และ 2568 ลง กดดัน SET INDEX อีกระยะหนึ่งได้
ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยยังคงบิดเบี้ยว ดูทรงๆ แต่ใส้ในลงแรง นับตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 – 15 พ.ย. 67 (1 เดือนครึ่ง) แม้เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย หนุน SET INDEX ทรงๆ ตัว ที่ 1442 จุด ( - 0.18%) และ SET100 บวกเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2009จุด (+0.49%)
แต่หากพิจารณา ผลตอบแทนหุ้นใน SET100 ออกเป็นรายบริษัท พบว่า มีผลตอบแทน เฉลี่ยที่ติดลบแรงถึง -7.8% ต่ำกว่า SET100 INDEX +0.49% อีกทั้งยังมีหุ้นที่ให้ ผลตอบแทนเป็นบวกเพียง 21 จาก 100 บริษัทเท่านั้น แสดงให้เห็นการขึ้นของดัชนี SET100 เป็นการถูกผลักดันด้วยการกระจุกตัวอยู่เพียงหุ้นบางกลุ่มเท่านั้น เช่น DELTA ใน 1 เดือนครึ่ง +52.8% (หนุน SET100 3.9%)
การเอนเอียงของเม็ดเงินจากกองทุนไทย ไปกระจุกตัวในหุ้น TECH มากขึ้น ส่งผลให้ MARGET CAP ของหุ้น TECH ไทยหลายบริษัทใหญ่ขึ้นมาก อาทิ DELTA มี MARKET CAP 2.04 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ MARKET CAP ของหุ้นใน SET100 นับจากหุ้นที่มีขนาดเล็กสุดขึ้นมารวมกันถึง 60 บริษัท และเทียบเท่ากับหุ้นใน SET นับ จากหุ้นที่มีขนาดเล็กสุดขึ้นมารวมกันถึง 564 บริษัท เป็นต้น
สรุป เม็ดเงินที่เข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ถูกกระจุกตัวอยู่ในบางหุ้นและบางกลุ่ม เท่านั้น ทำให้หากมีปัจจัยต่างๆ เข้ามากดดันตลาด หรือเม็ดเงินที่ไหลเข้าเริ่มจำกัด อาจ เห็นการปรับฐานตามาได้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities