การประกาศตัวเลขตลาดแรงงานเดือน ก.ย. ของสหรัฐ ที่มีอัตราการ ว่างงาน 4.1% ต่ำกว่าคาด ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมา 254K สูงกว่าคาด เป็นการสะท้อนภาพโอกาสที่จะเกิด RECESSION ลด ต่ำลง ส่วนทิศทางอัตรดอกเบี้ยยังอยู่ในแนวโน้มลง โดยช่วงเวลาที่เหลือ ของปี 2567 คาดลดลงอีก 0.5% ปี 2568 และ 2569 ลดลงปีละ 1% ภาวะ ดังกล่าวถือเป็นสภาวะแวดล้อมเชิงบวกบวกต่อภาพตลาดการเงิน ส่วนใน บ้านเราการประชุม กนง. รอบ 16 ต.ค. เชื่อว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% แต่โอกาสที่จะปรับลดในรอบ 18 ธ.ค. มีมากขึ้น ทั้งนี้อยู่ภายใต้ สถานการณ์ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเด่น ซึ่งดีต่อตลาดหุ้นเช่นกัน อย่างไรก็ ตามยังต้องระวังความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในพิ้นที่ตะวันออกกลางที่ ร้อนแรงมากขึ้น และอาจมีผลต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป ประเมินว่า SET INDEX ยังอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเชิงบวก ซึ่งน่าจะ ผลักดันให้SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ ส่วนวันนี้ประเมินกรอบ 1435 – 1453 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BJC, CK และTASCO
ัจจัยแวดล้อมเพิ่มความเชื่อมั่นลงทุน หนุนเม็ดเงินไหลเข้า สินทรัพย์เสี่ยง ศุกร์ที่ผ่านมามีรายงานตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ สำคัญๆ ดังนี้
• การจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯ เดือน ก.ย. 67 เพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 254,000 ตำแหน่ง โดยการที่จ้างงานที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ สอดคล้องกับ PMI SERVICE ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
• อัตราการว่างงานสหัรฐฯ เดือน ก.ย. 67 ปรับตัวลดลงเหลือ 4.1% ซึ่งต่ำกว่า ตลาดคาดที่ 4.2% สะท้อนการมีงานทำในสหรัฐฯ ลดแรงกดดันเรื่องกำลัง ซื้อชะลอตัว
ภาวะดังกล่าวส่งผลให้เครื่องชี้วัดโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอยผ่านการพุ่งขึ้นของ UNEMPLOYMENT RATE หรือ SAHM RULE INDICATOR ถอยลงมาเหลือ 0.5 (ในอดีตช่วงเกิด RECESSION ดัชนี้ SAHM RULE มักจะพุ่งขึ้นตลอด) หนุน ความหวังเศรษฐกิจ SOFT LANDING ในสหรัฐฯ
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังดูดี ส่งผลให้ความกลัวเรื่องเศรษฐกิจ RECESSION ลด ระดับความกังวลลงมา ทำให้การประชุม FED รอบวันที่ 7 พ.ย. 67 FED WATCH TOOL เทน้ำหนักไปที่การลดดอกเบี้ย 0.25% มีความน่าจะเป็นเกือบ 100% (ไม่เห็น โอกาสที่จะลดดอกเบี้ย 0.5% แล้ว) และในการประชุมฯ ครั้งสุดท้ายของปีนี้จะเห็น FED ลดดอกเบี้ยอีกแค่ 0.25% สอดคล้องกับ DOT PLOT ที่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย อีก 0.50% ก่อนสิ้นปี 67(2 ครั้ง)
สรุป ภาพตลาดแรงงานสหัฐฯ ยังคงดูดีในเดือน ก.ย. 67 ขณะที่อัตราการว่างงาน ลดลง ทำให้เพิ่มความหวังที่จะเห็น SOFT LANDING แทนที่จะเป็น RECESSION ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจไม่เห็นการปรับลดแรงๆ ช่วยเรียกความเชื่อมั่น กลับมา หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนี้
ีนดูดีขึ้น หนุน FLOW ไหลออกจากประเทศอื่นในเอเชียช่วงสั้น หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ตลอดช่วงปลาย เดือน ก.ย.67 โดยเน้นใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับ ธ.พ. และเร่งแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ รวมทั้งใช้นโยบายการคลังแจกเงินให้กับผู้ยากไร้กระตุ้น การบริโภค ประเด็นดังกล่าวเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น โดยตัวเลขยอดขายบ้านในจีน เพิ่มขึ้นในช่วงวันหยุดเนื่องในวันชาติจีน และการเข้าชมโครงการ +50%YOY ขณะที่วัน อังคารนี้8 ตุ.ค. 2567 เวลา 10.00 น.รัฐบาลจีนจะเปิดเผย PACKAGE กระตุ้นการ คลังเพิ่มเติม ประเด็นดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นจีนทั้ง CSI300 และ HANG SENG ปรับตัวขึ้นแรงใน ช่วงเวลานั้น และกดดันตลาดหุ้นประเทศอื่นในเอเชียช่วงสั้น สังเกตได้จาก 2 มุม ดังนี้ 1.สัปดาห์แรกเดือน ต.ค. FUND FLOW ต่างชาติชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาค อาทิ อินเดีย -2.5 พันล้านเหรียญฯ, ไต้หวัน -877 ล้านเหรียญฯ, เกาหลีใต้ -156 ล้าน เหรียญฯ, อินโดนีเซีย -114 ล้านเหรียญฯ และไทย -330 ล้านเหรียญฯ(1.1 หมื่นล้าน บาท)
2.ค่าเงินในภูมิภาค (MTD) อ่อนค่าเร็วกว่า DOLLAR INDEX ที่แข็งค่า โดย DOLLAR INDEX แข็งค่า 1.7%MTD แต่ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าเร็วกว่า อาทิ อินโดฯ 2.23%, เกาหลีใต้2.25%, ไทย 2.62% ขณะที่ค่าเงิน HONG KONG แข็งค่า 0.09%MTD
อย่างไรก็ตามวันนี้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) จะทำการเข้าซื้อขายในตลาด หลักทรัพย์ฯ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าจะเป็นตัวที่สามารถเพิ่มปริมาณการซื้อขายต่อวัน ของตลาดฯ ได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นเดียวกับตอนที่ OR เข้าตลาดฯ เมื่อเดือน ก.พ.21 หลังจากนั้นตัวเลขบัญชีลูกค้าที่ซื้อขายรายเดือนก็พุ่งตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 7-8 แสนบัญชี ซึ่งช่วง ม.ค.21 หรือก่อนหน้านั้น ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ระดับ 3-5 แสนบัญชี เท่านั้น สรุป เศรษฐกิจจีนดูดีขึ้นหลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นมากมาย หนุน FLOW ไหล ออกจากประเทศอื่นในเอเชียช่วงสั้น สังเกตได้จาก FUND FLOW ต่างชาติ และค่าเงิน ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามวันนี้องทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) จะทำการเข้า ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดเป็นตัวพยุงให้ SET ไม่ผันผวนมากนัก โดยวาง กรอบการเคลื่อนไหววันนี้ 1435-1453 จุด
4 มิติ สะท้อนนักลงทุนเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยช่วง 2H67 มากขึ้น
ฝ่ายวิจัยฯ เห็นปัจจัยต่างๆ สะท้อนถึงนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ในหลากหลายมิติ ดังนี้
1. มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือน ก.ย. ที่ 6.08 หมื่นล้านบาทต่อ วัน และเพิ่มขึ้นมา 66% จากเดือน ก.ค. ที่ 3.67 หมื่นล้านบาทต่อวัน ปกติ เวลามูลค่าซื้อขายราวที่สูงเกิน 5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น TURNOVER > 70% ต่อปี มักจะช่วยหนุนให้ SET INDEX มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้
2. มาตการดูแลจากทางตลาดหลักทรัพธ์ที่เข้มข้นขึ้น โดยตลอดช่วง 2H67 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งออกมาตรการกำกับดูแล ยกระดับความเชื่อมั่นนัก ลงทุน อาทิ UPTICK RULE, ผู้ลงทุน HFT ขึ้นทะเบียน, เพิ่ม MINIMUM RESTING TIME ป้องกันการเข้าใจปริมาณการซื้อขายผิดไป หนุนให้ ปริมาณสัดส่วนการ SHORT SELL ในช่วง 2H67 ลดลงเหลือ 4.14% ต่อวัน ลดลงจากช่วง 1H67 ที่สูงถึง 11.4% ต่อวัน
3. ความเชื่อมั่นทางการเมืองเพิ่มขึ้น สะท้อนจาก NIDA POLL ที่ช่วง 3Q67 คะแนนความนิยม นายก อุ๊งอ๊ง เพิ่มขึ้นเป็น 31.35% (จาก 4.85% ในช่วงไตร มาสที่ 2)
4. หุ้น IPO เริ่มกลับเข้ามา และซื้อขายวันแรกบวกได้เด่น ช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น และหุ้น IPO หลายๆ บริษัทซื้อขายวัน แลกติดลบ กลับมาที่ปัจจุบันเริ่มเห็นหุ้น IPO ทยอยกลับเข้ามาในตลาด และ ยังให้ผลตอบแทนซื้อขายวันแรกเด่น อาทิ SEI +103%, OKJ +85%
สรุป ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น ไทยช่วง 2H67 รวมถึงเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ถือเป็นประตูบานแรกที่เปิดออกต้อนรับ การกลับเข้ามาลงทางตรงและทางอ้อมที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities