FED ปรับลดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในการประชุมเมื่อวาน ขณะที่ในช่วง เวลาที่เหลือของปีคาดว่าจะปรับลดลงอีกไม่น้อยกว่า 0.5% ส่วนปี 2568 คาดว่าจะปรับลดลงอีก 1% ภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็น วัฎจักรดอกเบี้ย ขาลงชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยในบ้านเราปรับ ลดลงเช่นกัน โดยเราเห็นว่ามีโอกาสที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ ทั้งนี้ประเมินจาก BOND YIELD ในประเทศที่ปรับตัวลดลงมารอ ล่าสุด BOBD YIELD 10 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.5% เท่ากับดอกเบี้ย นโยบายในปัจจุบัน ขณะที่เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากภาวะ ดังกล่าวยังดำเนินต่อไปก็จะเป็นปัญหาต่อภาคการส่งออก ในมุมของ SET INDEX เชื่อว่าได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดอกเบี้ย รวมถึงภาพ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน มีโอกาสขยับเป้าหมายขึ้นไปเหนือ 1500 จุด เชื่อว่า SET INDEX อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยมีทั้งปัจจัยแวดล้อมทาง พื้นฐานเชิงบวก และ FUND FLOW หนุน ส่วนกรอบวันนี้คาดที่ 1428 – 1450 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CPALL (BK:CPALL), SCGP และ SIRI
FED อั้นไม่ไหว ใช้ยาแรงลดดอกเบี้ย 0.5% การประชุม FED คืนที่ผ่านมา ได้มีมติ 11:1 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% สู่ระดับ 5.0% ตามคาด หลังมีความมั่นใจมากขึ้นว่า จะกดเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้ อย่างยั่งยืน ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอ สำหรับคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในระยะยาว (DOT PLOT) อาจมีการปรับ ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.5% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ หรือปลายปี 2024 ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 4.5% ส่วนปีหน้ามีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1.0% หรือ ปลายปี 2025 ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ FED ยังได้มีการประมาณการใหม่ของตัวเลขเศรษฐกิจสรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึง ความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังลดความร้อนลง อาทิ
• GDP GRWOT ปี 2024 คาดขยายตัวแค่ +2.0% (เดิมคาด +2.1%)
• UNEMPLOYMENT RATE ปี 2024 คาดเพิ่มขึ้น 4.4% (เดิมคาด 4.0%)
อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปยังคงติดตามว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแบบ HARD LANDING หรือ SOFT LANDING โดยในกรณีที่ FED เร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและ แรง อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ RECESSION ซึ่งมักจะกดดัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก แต่ในทางกลับกันหากดอกเบี้ยปรับลดลงแบบค่อยเป็นค่อย ไป ท่ามกลางเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สะท้อน FED ทำ SOFT LANDING สำเร็จ จะ หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นได้ต่อ
ขณะเดียวกันในแถบประเทศเอเชียเริ่มเห็นธนาคารกลางทยอยปรับลดดอกเบี้ยกันแล้ว หลังดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา อาทิ อินโดนีเซีย (6.25% 6.0%), ฟิลิปปินส์ (6.5% 6.25%) เป็นต้น
สรุป แนวโน้มดอกเบี้ยหลายประเทศเริ่มข้าสู่วงจรขาลง หลังดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับสูง ในช่วงที่ผ่านมา และเงินเฟ้อทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป ยังคงติดตามว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแบบ HARD LANDING หรือ SOFT LANDING
การลดดอกเบี้ยของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ หนุน SET OUTPERFORM ตามข้อมูลในอดีต หลังจากที่หลายประเทศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อมาช่วยพยุงเศรษฐกิจ ของประเทศตนเองที่มีโอกาสเสี่ยงเกิด RECESSION โดย BLOOMBERG คาดการณ์ โอกาสเกิด RECESSION อีก 1 ปีข้างหน้าในกลุ่ม DEVELOPED MARKET สูงกว่า กลุ่ม TIP และมีหลายประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากต้นเดือน ส.ค.67 อาทิ อังกฤษ, ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น
ขณะที่หากพิจารณาเฉพาะประเทศไทย จะเห็นว่าโอกาสการเกิด RECESSION นั้นต่ำ และยังลดลงจากต้นเดือน ส.ค.67 อีกด้วย เนื่องจากประเทศไทยเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี จากภาคส่งออก และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีนโยบายกระตุ้นของภาครัฐฯ ที่จะเข้ามา ในรยะถัดไป อาทิ แจกเงิน 10,000 บาทให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ประเด็นดังกล่าวคาดหนุนให้ GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ซึ่งหาก GDP GROWTH ปีนี้โต 3% จริง GDP GROWTH ไตรมาส 3 และ 4จะต้องเติบโตสูงถึง 4.1%YOY ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อนอยู่มาก โดยเฉพาะไตรมาส 4
ดังนั้น SET INDEX จึงน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทั้ง ความเสี่ยง RECESSION ที่น้อย และ GDP GROWTH ยังเติบโตเด่น อีกทั้งจะเห็นได้ว่า ช่วงเวลาที่ FED ลดดอกเบี้ยเร็วและแรง ดังปีที่ 2001 SET มีโอกาส OUTPERFORM กว่า NASDAQ เสมอ
ตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ พอ FED เริ่มต้นลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และมีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง อาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง รวมถึงมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ชะลอตัวสหรัฐชะลอตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ FUND FLOW มีโอกาสย้ายจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ กระจายไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม ฝ่ายวิจัยประเมินว่าเป้าหมายการลงทุนต่างชาติมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม จากปัจจัยในเชิงเปรียบเทียบหลายๆ มิติ ดังนี้
▪ MOMENTUM -> FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทย จากการลดเบี้ย สหรัฐที่จะเร่งลดเร็วกว่าไทยในช่วง 1 – 2 ปีต่อจากนี้ จะกดดันให้ค่าเงิน ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ ลงทุนในหุ้นไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
▪ FUNDDAMENTAL -> GDP GROWTH ไทยช่วง 2H67 มีโอกาสเติบโตเด่น 4.1% จึงจะเท่ากับที่กระทรวงการคลังประเมินทั้งปี 2567 เติบโต 3% และเป็น การเติบโตจากฐานที่ต่ำช่วง 1H67 ที่1.9% อีกทั้งยังสูงกว่าสหรัฐที่ทาง BLOOMBERG คาด GDP GROWTH 2H67 ลดลงเหลือ 2.1% และในมุม กำไรบริษัทจดทะเบียน EPS GROWTH ไทย 67F คาดจะเติบโตได้สูง 13%, สูงกว่า EPS GROWTH สหรัฐ 67F8%
▪ VALUATION -> ล่าสุดตลาดหุ้นไทยมี P/E67F 15.7เท่า, P/E68F 14.5 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ที่มี P/E67F 23.2 เท่า และ P/E68F 20.3 เท่า รวมถึง P/BV67F ไทย ต่ำเพียง 1.4 เท่า และต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ที่มี P/BV67F 4.7 เท่า
สรุป ตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ ทำให้มีโอกาสเห็นการเคลื่อนย้าย เม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมได้ในช่วงที่เหลือของปี และอาจต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities