- รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ การสำรวจ ISM PMI และผลประกอบการชุดล่าสุดจะเป็นประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้
-
Dick’s Sporting Goods เป็นหุ้นที่น่าซื้อจากผลประกอบการและแนวโน้มที่คาดว่าจะดีกว่าคาด
-
Dollar Tree เป็นหุ้นที่ควรขายจากการเติบโตของกำไรที่ซบเซาและแนวโน้มที่คาดว่าจะลดลง
-
หากคุณกำลังมองหาไอเดียการเทรดเพิ่มเติม สมัครเลยที่นี่ InvestingPro AI
หุ้นสหรัฐฯ มีการพุ่งขึ้นในวันศุกร์และปิดเดือนที่ผันผวนอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบลูชิปอย่าง ดาวโจนส์ ทำสถิติปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
ดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในรอบสัปดาห์ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ด้าน S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% ในรอบสัปดาห์ ขณะที่ Nasdaq คอมโพสิต ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ ปรับลดลง 0.9% ในรอบสัปดาห์
ที่มา: Investing.com
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นถือเป็นการปิดท้ายเดือนที่ผันผวนของวอลล์สตรีท หลังจากมีการเทขายหุ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้ดัชนี Nasdaq เข้าสู่เขตการปรับฐาน หุ้นได้ฟื้นตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยดัชนี S&P 500 ซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตลอดทั้งเดือน S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.3% ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.8% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.6%
สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่สั้นลงเนื่องจากวันหยุด โดยตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันแรงงาน แต่คาดว่าจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ หลายอย่างที่ส่งผลต่อตลาด
สิ่งที่สำคัญที่สุดในปฏิทินเศรษฐกิจคือรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับการเติบโตของการจ้างงาน 114,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม โดยอัตราการว่างงานคาดว่าจะลดลงเหลือ 4.2%
แต่ก่อนที่จะมีรายงานการจ้างงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการจาก ISM ก็จะเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ที่มา: Investing.com
ณ เช้าวันอาทิตย์ นักลงทุนมองว่ามีโอกาสที่ 70% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในการประชุมเดือนกันยายน และมีโอกาส 30% ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 จุดพื้นฐาน ตามข้อมูลจากเครื่องมือ Fed Monitor Tool ของ Investing.com
ในขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการที่สำคัญบางส่วนที่ต้องจับตามอง ได้แก่ ข้อมูลอัปเดตจาก Broadcom (NASDAQ:AVGO) Hewlett Packard Enterprise (NYSE:HPE) Dick’s Sporting Goods (NYSE:DKS) Dollar Tree (NASDAQ:DLTR) และ Nio (NYSE:NIO)
ไม่ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปทางใด ด้านล่างนี้คือหุ้นหนึ่งตัวที่มีแนวโน้มเป็นที่ต้องการและอีกตัวหนึ่งที่อาจมีแนวโน้มลดลงอีกครั้ง แต่โปรดจำไว้ว่ากรอบเวลาของเราคือช่วงสัปดาห์นี้หรือวันจันทร์ที่ 2 กันยายน ถึงวันศุกร์ที่ 6 กันยายน
หุ้นที่ควรซื้อ: Dick’s Sporting Goods
เราคาดหวังว่า Dick’s Sporting Goods จะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ โดยราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะทะลุระดับสูงสุดใหม่ เนื่องจากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองของผู้ค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาอาจสร้างความประหลาดใจในทางบวกจากแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่ดีขึ้น
Dick's มีกำหนดการณ์เผยแพร่ข้อมูลอัปเดตประจำไตรมาสที่ 2 ก่อนเปิดตลาดในวันพุธ เวลา 7.00 น. ET โดยผลประกอบการน่าจะได้รับประโยชน์อีกครั้งจากความต้องการรองเท้าผ้าใบ เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาที่มั่นคงจากฐานลูกค้าที่ภักดี และวิธีการจัดการสินค้าคงคลังที่มีวินัย
ตามตลาดออปชั่น เทรดเดอร์กำลังกำหนดราคาความแกว่งของหุ้น DKS ที่ประมาณ 7.5% ทั้งสองทิศทางหลังจากการประกาศดังกล่าว ข้อมูลจาก InvestingPro แสดงให้เห็นว่ารายได้จะถือเป็นตัวเร่งให้ราคาหุ้นแกว่งตัวอย่างรุนแรงในปีนี้ โดยราคาหุ้นของ Dick ขยับขึ้น 15% เมื่อบริษัทประกาศตัวเลขประจำไตรมาสเล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม
ที่มา: Investing.com
ประมาณการจากนักวิเคราะห์พบว่าเครือข่ายร้านขายอุปกรณ์กีฬาในเมืองคอราโอโปลิส รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งดำเนินกิจการร้านค้าปลีกกว่า 800 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้น 3.85 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 36.5% จาก EPS ที่ 2.82 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากได้รับการยืนยัน ก็จะเป็นการทำกำไรครั้งใหญ่ที่สุดของร้านค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาในรอบกว่า 2 ปี
นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการ EPS อย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการประกาศผลประกอบการ ซึ่งถือเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 14 จาก 17 ครั้งของการปรับแก้ EPS ล่าสุดนั้นถูกปรับขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัท
แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากสำหรับผู้ค้าปลีก แต่รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็น 3.44 พันล้านดอลลาร์ ยอดขายจากร้านเดียวกันที่เพิ่มขึ้น 5.3% ในไตรมาสก่อนหน้า น่าจะสูงกว่าประมาณการ เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาและสันทนาการที่ยืดหยุ่น แม้ว่าการใช้จ่ายตามดุลยพินิจโดยรวมจะผันผวน
ดังนั้น เราเชื่อว่าฝ่ายบริหารของ Dick จะให้แนวโน้มที่สดใสสำหรับไตรมาสปัจจุบันโดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายในประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬา รวมไปถึงอุปกรณ์ฟิตเนสและกลางแจ้ง
หุ้นของ DKS ปิดที่ 236.96 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 239.30 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากระดับปัจจุบัน Dick's มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 19.3 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นเครือร้านค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ที่มา: Investing.com
หุ้นมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 61.2% ในรอบปี และดีกว่าการเพิ่มขึ้นที่ 5.5% ของ SPDR® S&P Retail ETF (NYSE:XRT) มาก ซึ่งติดตามดัชนีที่มีน้ำหนักเท่ากันของบริษัทค้าปลีกในสหรัฐฯ ใน S&P 500
เป็นที่น่าสังเกตว่าโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ InvestingPro ให้คะแนน Dick’s Sporting Goods ด้วยคะแนน 'Financial Health Score' ที่เกือบสมบูรณ์แบบที่ 4.0 จาก 5.0 ซึ่งเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจพื้นฐานและการดำเนินการที่แข็งแกร่งทั่วทั้งบริษัท นอกจากนี้เรายังควรกล่าวอีกว่า Dick’s สามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลประจำปีไว้ได้เป็นเวลา 14 ปีติดต่อกัน
อย่าพลาด InvestingPro เพื่อติดตามเทรนด์ของตลาดและผลกระทบต่อการซื้อขายของคุณ สมัครเลยตอนนี้ที่ InvestingPro เพื่อรับส่วนลด 50% และจัดพอร์ตการลงทุนของคุณให้ล้ำหน้ากว่าใคร
หุ้นที่ควรขาย: Dollar Tree
ในทางกลับกัน Dollar Tree กำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นก่อนการรายงานผลกำไรไตรมาสที่ 2 โดยเครือข่ายร้านค้าปลีกกำลังประสบกับปัญหาที่ต้องเผชิญกับผลกระทบเชิงลบจากอุปสรรคหลายประการที่มีต่อธุรกิจของตน
Dollar Tree คาดว่าจะรายงานผลประกอบการและแนวทางการดำเนินงานที่อ่อนแอในวันพุธ ก่อนตลาดสหรัฐฯ เปิดทำการเวลา 6.30 น. EST เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรงจากยักษ์ใหญ่ด้านการค้าปลีกอย่าง Walmart (NYSE:WMT) และ Amazon (NASDAQ:AMZN) รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนอย่าง Temu ซึ่งเป็นของ PDD (NASDAQ:PDD)
อัตรากำไรของผู้ประกอบการร้านค้าหลากหลายประเภทที่มีฐานอยู่ในเมืองเชสพีก รัฐเวอร์จิเนีย ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน และผลสำรวจของ InvestingPro เผยให้เห็นว่านักวิเคราะห์ 22 คนจากทั้งหมด 23 คนได้ปรับลดประมาณการกำไรในช่วง 90 วันที่ผ่านมา ความรู้สึกเชิงลบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของ Dollar Tree ในการรับมือกับธุระกิจค้าปลีกส่วนลดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีฐานที่มั่นคงมากขึ้น
ด้วยปัจจัยลบเหล่านี้ รายงานไตรมาสที่ 2 ของ Dollar Tree นั้นไม่น่าจะสร้างความเชื่อมั่นได้ ทำให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงหรือขายทิ้ง นอกจากนี้ Dollar General (NYSE:DG ซึ่งเป็นบริษัทร่วมในอุตสาหกรรมของ Dollar Tree ยังประสบกับภาวะขาลง โดยผลประกอบการในวันเดียวกันลดลงถึง 30% ในระดับประวัติศาสตร์เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตอกย้ำถึงความท้าทายที่ผู้ค้าปลีกสินค้าลดราคาต้องเผชิญ
นักลงทุนคาดว่าหุ้น DLTR จะผันผวนอย่างมากหลังจากรายงานดังกล่าวออกมา โดยมีแนวโน้มว่าหุ้นจะเคลื่อนไหว 13% ในทั้งสองทิศทางตามตลาดออปชั่น ทั้งนี้ ควรกล่าวว่าในการรายงานผลประกอบการ 2 ครั้งล่าสุดผู้ค้าปลีกรายนี้ปรับตัวลดลงอย่างมาก
ที่มา: Investing.com
Dollar Tree ซึ่งดำเนินกิจการร้านค้าประมาณ 15,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีกำไร 1.04 ดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 14.3% จาก EPS 0.91 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2% ต่อปีเป็น 7.48 พันล้านดอลลาร์
ด้วยอัตรากำไรของ Dollar Tree ที่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันและตำแหน่งทางการแข่งขันที่อ่อนแอลง เราเชื่อว่าบริษัทผู้ค้าปลีกรายนี้จะมีการคาดการณ์ยอดขายและกำไรในปี 2025 ที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ยากลำบาก
นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากการที่ Dollar Tree พึ่งพาผู้บริโภคที่มีความอ่อนไหวต่อราคา ซึ่งหันไปหาผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าและมีสินค้าที่หลากหลายกว่า
หุ้น DLTR ปิดตลาดวันศุกร์ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 84.49 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2020 เมื่อพิจารณาจากการประเมินมูลค่าปัจจุบัน Dollar Tree มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 18,200 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นร้านค้าดอลลาร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกส่วนลดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ที่มา: Investing.com
หุ้น DLTR ร่วงลงถึง 40.5% ในปี 2024 ทำให้เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดใน S&P 500 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของยอดขายที่ไม่แน่นอน อัตรากำไรที่ลดลง และกระแสเงินสดอิสระที่ลดลง
ควรสังเกตว่า InvestingPro วาดภาพเชิงลบเกี่ยวกับหุ้นของ Dollar Tree โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับกำไรที่ลดลงและแนวโน้มการเติบโตของยอดขาย
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ การใช้ประโยชน์จาก InvestingPro นั้นจะสามารถเปิดโอกาสการลงทุนได้มากมายพร้อมกับลดความเสี่ยงในสภาพตลาดที่ท้าทายได้
***