หลังจากลงไปต่ำสุดเมื่อ 5 ส.ค.67 (MINI BLACK MONDAY) จนถึง ปัจจุบัน SET INDEX ปรับขึ้นมาแล้วราว 90 จุด ซึ่งการฟื้นกลับที่แรง ดังกล่าว การที่จะต้องพักตัวบ้างถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน เชื่อว่า SET INDEX ยังคงอยู่ ในขาขึ้น โดยแรงขับเคลื่อนมาจากปัจจัยพื้นฐานที่มีพัฒนาการเชิงบวก สะท้อนผ่านผลประกอบการ 2Q67 ที่ออกมาดีกว่า CONSESSUS คาด ไว้ 12% ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจ 2H67 ฟื้นตัวกลับเป็นขั้นบันได ในอีก ทางหนึ่งเห็นสัญญาณบวกจาก FUND FLOW ที่กำลังไหลเข้ามา โดยใน เม็ดเงินในประเทศมาจาก THAILAND ESG FUND และ วายุภักษ์ ขณะที่ เม็ดเงินต่างประเทศมีแรงดึงดูดจาก เงินบาทที่แข็งค่า อย่างไรก็ตามยังคง ต้องติดตามสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลว่าราบรื่นหรือไม่ SET INDEX ยังอยู่ในขาขึ้น แต่การปรับฐานระยะสั้นหลังปรับตัวขึ้นมาราว 90 จุด ก็อาจเกิดขึ้นเป็นธรรมดา กรอบ 1355 – 1370 จุด และแนวต้าน ถัดไป 1376 จุด TOP PICK เลือก AMATA, BDMS และ PLANB
ราคาน้ำมันดิบดีดตัวแรงในช่วงนี้ ด้วยเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ? วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT/WTI ยังปรับตัวขึ้นต่ออีก 3.0% และ 2.7% ตามลำดับ ปิดที่ระดับ 81.4เหรียญฯ/บาร์เรล และ 77.2เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมา จากการฟื้นตัวขึ้นของตัวเลขเศรษฐกิจในจีน (DEMAND เพิ่มขึ้น) ขณะที่ฝั่ง SUPPLY มีความกังวลว่าจะหายไปจาก 2 เหตุผล 1.สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น หลังอิหร่านยืนยันโจมตี อิสราเอลแน่ ตอบโต้ที่อิสราเอลลอบสังหารนายฟูอัด ชูกร์ ผู้บัญชาการทหารระดับสูง ของฮิซบอลเลาะห์เมื่อเดือนที่แล้ว 2.ลิเบียประกาศระงับการผลิตน้ำมัน เหตุความขัดแย้งในกลุ่มรัฐบาลในประเทศตนเอง ซึ่งลิเบียมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันใน OPEC ราว 4.3%
โดยฝ่ายวิจัยฯ ยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ำมันจะยังทรงตัวได้ในระดับสูง ต่อเนื่องจากเหตุผลข้างต้น และคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปอยู่ที่ 80 เหรียญฯ/บาร์เรล (ใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน) ดังนั้นจึงคาด สร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET INDEX ในวันนี้ เนื่องจาก SET มีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม น้ำมัน-โรงกลั่นสูงถึง 1 ใน 3 ของสัดส่วนทั้งหมด โดยหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่น่าสะสม คือ PTT (BK:PTT) PTTEP TOP SPRC BCP SUSCO เป็นต้น
เงินบาทแข็งค่า เรียกคืนบรรยากาศความเชื่อมั่นลงทุน เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือน ราว 4.9%MTD จากที่ เคยยืนอยู่ในระดับ 37 บาท/เหรียญฯ สู่ 34 บาท/เหรียญฯ โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือ ดอลลาร์อ่อนค่ามากขึ้นในเชิงเปรียนเทียบ หลัง FED ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะเริ่มปรับ ลดดอกเบี้ยในปี 2567
นอกจากนี้ ในมุมของฐานะทางการเงินบ้านเรา ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเงินสัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ต่อมูลค่าการนำเข้าของไทยล่าสุดอยู่ที่ ราว 10.4 เดือน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ (ประเทศควรจะมีทุนสำรองเพียงพอที่จะนำเข้าได้ มากกว่า 3 เดือน) อีกทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยพลิกลับมาเกินดุล 2 เดือน ติดต่อกัน ด้วยแรงหนุนของมูลการส่งออกเติบโตเด่น ส่วนในวันนี้ (27 ส.ค. 67) เวลา 13.00 น. รอติดตามตัวเลขการค้าระหว่างประเทศใน เดือน ก.ค.67 โดย CONSENSUS คาดว่าจะเห็นการส่งออกขยายตัว +6.95%YOY
สรุป เงินบาทแข็งค่าขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น โดยมีแรงหนุนจากทั้งการส่งสัญญาณ ปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ของ FED รวมถึงบ้านเรามีฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ทั้งในมุมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ ช่วยเรียกความเชื่อมั่นต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในไทย โดยในผลประโยชน์ทางอ้อม คาดหวังว่าดึงดูด FUND FLOW ไหลเข้า SET มากขึ้น
เดือน ส.ค. SET เจออุปสรรคใหญ่ แต่ยังขึ้นได้เด่นอันดับ 5 ของ โลก และหวังต่างชาติสนใจลงทุนเพิ่ม ครึ่งแรกเดือน ส.ค. 67 SET INDEX ฝ่ามรสุมลูกใหญ่หลายลูก ดังนี้
▪ MINI BLACK MONDAY อีกครั้งในรอบ 37 ปี(5 ส.ค.)
▪ ยุบพรรคก้าวไกล (7 ส.ค.)
▪ MSCI ปรับน้ำหนักหุ้นไทย (13 ส.ค.)
▪ การยุติบทบาทนายกเศรษฐา (14 ส.ค.)
ส่วนครึ่งหลังเดือน ส.ค. เกิด “ฟ้าหลังฝน” ดังนี้
▪ กำไรงวด 2Q67 ดี2.6 แสนล้านบาท และดีกว่าคาด 12.25% (16. ส.ค.)
▪ ได้นายกฯ คนที่ 31 อย่างรวดเร็ว (16 ส.ค.)
▪ งาน VISION FOR THAILAND 2024(22 ส.ค.)
▪ ค่าเงินบาทแข็งค่ามาตลอด
▪ THAILAND FOCUS (28 ส.ค.)
หนุน FUND FLOW ไหลเข้าหุ้นไทย 1.39 หมื่นล้านบาท (EX BIGLOT SCCC) โดยเป็น การซื้อทางตรง 7.1 พันล้านบาท และซื้อผ่าน NVDR อีก 6.8 พันล้านบาท หนุน SET INDEX +3.33%MTD (สูงสุดอันดับ 8 ของโลก) แต่ถ้าแปลงเป็นสกุลเงิน USD SET +8.09%MTD (สูงสุดอันดับ 5 ของโลก)
นอกจากนี้มูลค่าซื้อขายต่อวัน ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเร่งขึ้นมา จน TURNOVER สูงเกิน 70% ต่อปี ซึ่งจากสถิติในอดีตการที่ SET จะปรับตัวขึ้นได้ดีมูลค่า ซื้อขายต้องหนุน TURNOVER เกิน 70% ต่อปี มีโอกาสหนุนให้ SET ขึ้นได้ 0.09% ต่อ วัน หรือ 22.3% ต่อป
ดังนั้นภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงต่อไปมีทิศทางที่ดีขึ้น, มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นจน TURNOVER > 70% ต่อปี, ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็ง, FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้า ต่อ และยังได้แรงหนุนจาการจัดงาน THAILAND FOCUS ต่อ กลยุทธ์แนะนำหุ้น 3 ธีม กำไร 2H67 เติบโตเด่นทั้ง HOH และ YOY ดัก FUND FLOW
1. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY ลงลึกหวังฟื้นเร็ว คือ SCC, IVL, CRC, SCGP, BGRIM, HMPRO 2. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY พื้นฐานเด่นแกร่งกว่าตลาด คือ PLANB, MTC, BH, GULF, CPAXT 3. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY รับกระแสฝนตกหนัก คือ BCH, TASCO, CKP
แก้หนี้ครัวเรือน หวังลด NPL คงให้ OUTPERFORM ต่อ KBANK (BK:KBANK), KTB, TTB และ BBL ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือน รวมทั้งการเข้าถึงสินเชื่อของ SME ที่ไม่ทั่วถึง เป็นความ ท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นชุด ความคิดในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทั้งจากงาน VISION FOR THAILAND 2024 ผ่าน การลด FIDF จาก 0.46% เหลือ 0.23% ของเงินฝาก เพื่อเปิดทางให้ ธ.พ. แก้หนี้ ครัวเรือนคล่องตัวขึ้น แม้ ธปท. ยังสงวนท่าทีต่อแนวคิดดังกล่าว แต่สะท้อนถึงแนวทาง ที่ชัดเจนของรัฐบาล เสริมจากมาตรการการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (RL) ของ ธปท. ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อ SME ทางภาครัฐ ทำผ่านการ จัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NATIONAL CREDIT GUARANTEE AGENCY: NACGA) โดยฝ่ายวิจัยมองกรณีที่แนวทางการลด FIDF เกิดขึ้น คาดการช่วยเหลือลูกหนี้ จะอยู่ ในรูปแบบดังนี้ คือ มีการลด FIDF เพื่อหนุนกำไรก่อนสำรอง (PPOP) กลุ่มฯ สูงขึ้น ทำ ให้กลุ่มฯ สามารถนำส่วนของ PPOP ที่มากขึ้นจากการจ่าย FIDF ที่ต่ำลง ไปชดเชย กับการตั้งสำรอง (ECL) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้เข้มข้นขึ้น กล่าวโดยสรุปคือไม่มีผลต่อ กำไรสุทธิ และได้ประโยชน์ในเชิงงบดุลจาก NPL ที่ลดลง โดยมอง ธพ. อย่าง KBANK, KKP, KTB, TISCO และ SCB ที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยและ SME จะสามารถบริหาร จัดการ NPL ราบรื่นขึ้น ส่วนการจัดตั้ง NACGA ประเมินช่วยให้ SME ที่มีศักยภาพ เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น บวกต่อการเติบโตสินเชื่อ ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงผ่านกลไกการค้ำประกันด้านเครดิตของ NACGA (ยังต้องรอรายละเอียดทาง กฎหมายที่ชัดเจน) หนุน ธ.พ. ที่มีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ SME สูงอย่าง KBANK (รายละเอียดเพิ่มเติม บทวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร วันที่ 23 ส.ค. และ 26 ส.ค. 67) ด้วยการเมืองผ่อนคลาย นำไปสู่การเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจและแนวทางใหม่ๆ ใน อนาคต ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูปันผลระหว่างกาลของกลุ่มฯ รวมทั้งการไหลเข้าของ FUND FLOW จากต่างชาติต่อเนื่อง ในขณะที่ NVDR และ –F ยังมีช่องว่างรองรับ ยัง ช่วยสนับสนุนราคาหุ้นถึงใกล้ XD ซึ่งการลงทุนกลุ่มฯ คงเลือก ธ.พ. ที่การควบคุม คุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีต่อเนื่อง เรียงตามความชอบดังนี้ KBANK (OUTPERFORM) คู่กับ KTB (OUTPERFORM) > TTB (OUTPERFORM) > BBL (OUTPERFORM) > TISCO (NEUTRAL) > SCB (NEUTRAL) > KKP (UNDERPERFORM)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities