ประเมินปัจจัยแวดล้อมเป็นใจหนุน SET INDEX ขยับขึ้นได้ต่อ เริ่มจาก ภาพใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจที่ความกังวล RECESSION ในประเทศพัฒนา แล้วลดระดับลง ขณะที่ในบ้านเราแม้จะมีความกังวลอยู่แต่ยังถูกคาดหมาย การเติบโตแบบขั้นบันไดในงวด 2H67 ในมุมของทิศทางอัตราดอกเบี้ย สัญญาณจาก FED คมชัดมากขึ้นโดยคาดหมายว่าจะเห็นการปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75 –1%ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ส่วนบ้าน เรา แม้รอบที่ผ่านมาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5%แต่ความเห็นของ ธปท. ยังไม่ปิดทางที่จะปรับลดดอกเบี้ย โดยที่ตลาดการเงินคาดปรับ ลดลง 0.25% ในปีนี้ ทั้งนี้ประเมินจาก BOND YIELD ที่ปรับลดลง ส่วน การจัดตั้งรัฐบาล ฝ่ายวิจัยคงความเห็นว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มทำงาน สัปดาห์ที่ 3 ของ ก.ย.67 แต่เป็นไปได้ที่จะเร็วกว่าคาด ภาพรวามปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังเป็นใจให้SET INDEX ปรับตัวขึ้น วันนี้คาด SET INDEX มีแนวรับที่ 1343 จุด แนวต้านแรก 1362 จุด ลัถัด ไปที่ 1370 จุด หุ้น TOP PICK เลือก IVL, OSP และ PTTEP
ความกลัว RECESSION ลดลง - โอกาสลดดอกเบี้ยชัดขึ้น หนุนตลาดหุ้นใจฟู ศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง นำโดยสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวก ราว 1.1% – 3.2% ขณะที่บ้านเราปรับตัวขึ้นราว 1% ท่ามกลางปัจจัยล้อมเรื่องความ กลัวเศรษฐกิจ RECESSION ในสหรัฐฯ ลดระดับความกังวลลงมา กลายปัจจัยที่เข้า มากวนใจชั่วคราว โดยโอกาสเกิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ RECESSION ในอีก 1 ปีข้างหน้า ของ BLOOMBERG ยังคงให้น้ำหนักเดิมไว้ที่ 30% (อย่างไรก็ตามยังต้องติดตาม ความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด)
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเชิงบวกจากความชัดเจนของการเริ่มต้นวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงใน สหรัฐฯ หลังผู้ว่าการ FED กล่าวสุนทพจน์ในการประชุม JACKSON HOLE (23 ส.ค. 67) ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนการเดินหน้านโยบายการเงิน โดย FED มีความ มั่นในมากขึ้นว่าสารถความคุมเงินเฟ้อได้ ขณะที่ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในปัจจุบัน มีแนวโน้มอ่อนแอลง ทำให้ในมุมมองของตลาดการเงินคาดว่าจะเห็น FED ปรับลด ดอกเบี้ยปีนี้ลงราว 0.75% –1.0% (3 ครั้ง)
ส่วนบ้านเรา ผู้ว่าการ ธปท. เผยว่าพร้อมปรับดอกเบี้ย หากเห็นสัญญาณเสถียรภาพ การเงินตึงตัวกว่าที่คาด โดยมุ่งเน้นติดตามพัฒนาการสินเชื่ออย่างใกล้ชิด ว่าจะ กระทบกับเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินจะยึดหลัก OUTLOOK DEPENDENT 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) การเติบโตทางเศรษฐกิจของ ประเทศ 2) อัตราเงินเฟ้อ และ 3)เสถียรภาพการเงิน ทำให้มีความหวังมากขึ้นว่าจะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. นี้ สรุป ความกลัวเศรษฐกิจ RECESSION ในสหรัฐฯ ลดระดับความกังวลลงมา ท่ามกลางการส่งสัญญาณจาก FED ชัดขึ้น ที่ใกล้ถึงเวลาในการปรับลดดอกเบี้ย ขณะ บ้านเราผู้ว่าการ ธปท. เผยไม่ปิดกั้นการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นบวก ต่อตลาดหุ้นโลก รวมถึงไทย
กระแสการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เร็วขึ้น ดีต่อเศรษฐกิจไทย หลังรู้ตัวนายกฯคนที่ 31 ของประเทศไทย ลำดับถัดไป คือ การดำเนินการจัดตั้ง ครม. ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะรวบรวมรายชื่อได้ครบเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในวันนี้หรือไม่ต้องจับ ตา เนื่องจาก ณ ปัจจุบันมีกระแสของพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนไป ซึ่งต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิด อย่างไรก็ตามพรรคแกนนำ ยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย + พรรคภูมิใจไทยที่มี คะแนนเสียงรวมกัน 211 เสียง จึงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายไปจากเดิมมากนัก ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติของ ครม. อย่างละเอียดอีกราว 2-3 สัปดาห์ (เดิมใช้เวลาแค่ 1 สัปดาห์) และคาดว่าภายในต้นเดือน ก.ย.67 ไม่เกิน กลางเดือน ก.ย.67 รัฐบาลชุดใหม่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสเห็นการเติบโตแบบขึ้นบันไดใน 2H67 หาก การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นไปตามกระบวนการที่คาดหมายไว้ โดยรัฐบาลรักษาการได้ เตรียมเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสำรองไว้แล้ว จากงบฯ เพิ่มเติมปี 2567 และงบประมาณ
ปี 68 อีกราว 3.24 แสนล้านบาท คาดหวังว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้นออกมา อาทิ โครงการ DIGITAL WALLET ที่ล่าสุดจะแจกเงินสดแก่กลุ่ม เปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท/รายภายใน 30 ก.ย.67 และจะแจกเงิน DIGITAL แก่ ผู้ลงทะเบียน 30 ล้านคนไม่ซ้ำกับกลุ่มแรก โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL (BK:CPALL) CPAXT BJC สรุป กระแสการจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่เร็วขึ้น คาดแล้วเสร็จช่วงต้น-กลาง ก.ย.67 หนุนให้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสเห็นการเติบโตแบบขึ้นบันไดใน 2H67 ซึ่งมาจาก DIGITAL WALLET ที่เตรียมแจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท/ ราย ภายใน 30 ก.ย.67 ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ เกษตร-อาหาร และค้าปลีก อาทิ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC เป็นต้น
ตลาดหุ้นไทย ยังมี MOMENTUM ต่อ แนะหุ้นกำไร2H67 โตเด่น SET INDEX ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง6 วันทำการหลังจากได้นายกฯ คนที่ 31 โดยบวก 65 จุด หรือราว 5% จาก 1289 จุด มาอยู่ที่ 1354 จุด ขณะที่ FUND FLOW ยังไหลหนุนหุ้นในกลุ่ม TIP และยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง โดย เดือนนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นอินโดนีเซีย 874 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 105 ล้านเหรียญ แม้จะขายหุ้นไทย 205 ล้านเหรียญ แต่หากหัก BIG LOT SCCC ออก ก็เป็นการซื้อสุทธิ 153 ล้านเหรียญ
โดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมา FUND FLOW ไหลเข้าหุ้นไทยเด่น 2.84 พันล้านบาท (ในวัน เดียวสูงสุดในรอบ 3 เดือนกว่า) และซื้อผ่าน NVDR อีก 2.66 พันล้านบาท รวม 5.5 พันล้านบาท และยังมีการซื้อ TFEX อีก 1.5 หมื่นสัญญา
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้ยปี 2023 ถึง ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทย -18.8% ยัง LAGGARD กว่า ตลาดหุ้นอินโดฯ +10.2% และฟิลิปปินส์ +6.0% อยู่มาก ขณะเดียวกันตลาดฯยังซื้อ ขายบน P/E ที่ 14.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15.66 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดฯ ซื้อขาย บน P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว
สรุปทั้งตลาดหุ้นไทยที่ LAGGARD กลุ่ม TIP และ P/E ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย รวมถึงยังมี แนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยไทยที่ช้ากว่า FED หนุนให้ FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อ ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ คัดกรองหุ้น 3 ธีม กำไร 2H67 เติบโตเด่นทั้ง HOH และ YOY ดัก FUND FLOW
1. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY ลงลึกหวังฟื้นเร็ว คือ SCC, IVL, CRC, SCGP, BGRIM, HMPRO
2. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY พื้นฐานเด่นแกร่งกว่าตลาด คือ PLANB, CK, MTC, BH, GULF, CPAXT
3. หุ้นกำไร 2H67 เติบโต HOH และ YOY รับกระแสฝนตกหนัก คือ BCH, TASCO, CKP
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities