เชื่อว่าแนวทางขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยที่นำเสนอ น่าจะสร้าง SENTIMENT เชิงบวก และดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นได้เพิ่มเติม โดย กองทุน THAI ESG ใหม่กำหนดให้สามารถนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษี ได้ไม่เกิน 3 แสนบาท,ระยะเวลาการถือครอง 5 ปี และลงทุนได้ช่วงปี 2567 – 2571 ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นได้มาก ขึ้น อย่างไรก็ตามต้องรอติดตามเงื่อนไขการจัดตั้งกองทุนว่า รูปแบบ กองทุนที่จะเสนอขายจะเป็น FIX INCOME FUND , EQUITY FUND หรือ FLEXIBLE FUND ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดปริมาณเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น ส่วน การกลับมาของกองทุนวายุภักษ์ ที่เปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้ามาซื้อได้ ก็ น่าจะเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่เข้ามาสนับสนุนตลาด สำหรับกลไก เช่น UPTIRCK RULE, การควบคุม HFT ยังเดินตามกรอบเวลาเดิม
SENTIMENT เชิงบวกจากแนวทางขับเคลื่อนตลาดทุน ผสมกับทิศทาง เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว น่าจะช่วยหนุนให้ SET INDEX ฟื้นตัว วันนี้ประเมิน กรอบ 1305 –1330 จุด หุ้น TOP PICK เลือก CK, CPALL (BK:CPALL) และ KBANK (BK:KBANK)
OUTLOOK เศรษฐกิจไทย ช่วงที่เหลือของปีมีทิศทางดีขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 สำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP GROWTH เติบโตเฉลี่ย +2.6%YOY (ขยายตัวมากกว่าปีก่อนที่ +1.9%YOY) แม้ใน 1Q67 จะ ปรับตัวสูงขึ้นแค่ +1.5% อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจบ้านเรายังมี แนวโน้มที่ดีขึ้นแบบขั้นบันได โดย BLOOMBERG คาด 2Q67 +2.1%YOY, 3Q67 +2.6YOY% และ4Q67 +3.8%YOY
ขณะที่เศรฐกิจบ้านเราในช่วงที่เหลือของปีมีสัญญาณที่ดีขึ้นในหลายๆ ภาคส่วน ดังนี้
• การบริโภค (C) มีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วง 4Q67 เชื่อว่าจะเร่มเห็นแรงผลักจากโครงการ DIGITAL WALLET แจกเงิน 10,000 บาท มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL CPAXT HMPRO
• การลงทุน (I)มีแนวโน้มดีขึ้น หลังต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมลงทุน มีเม็ด เงินเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 5M67 ทะลุ 7.1 หมื่นล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้น 58%YOY เชื่อว่าแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติตามแนวทางของรัฐบาล จะ หนุนให้ยอด FDI ขยับตัวสูงขึ้นตามลำดับ มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม อาทิ AMATA WHA
• การใช้จ่ายภาครัฐ (G) เป็นภาคส่วนที่หดตัวรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ ล่าสุดภาครัฐมีแนวทางเร่งเบิกจ่ายงบปี 67 ให้ได้ 70% ภายใน 3Q67 และ น่าจะเห็นความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนของการใช้งบปี 68 ใน 4Q67 มอง เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง อาทิ SCC, SCCC, CK, STEC
• การส่งออก (EX)กระทรวงพาณิชย์คาดตลอดทั้งปี 67 เติบโตราว1-2% แต่ล่าสุดในช่วง 5M67 ขยายตัว +2.6% โดยมีแรงหนุนหลักๆ จากการ ส่งออกสินค้าเกษตร ทำให้ช่วยลดแรงกดดัน DOWNSIDE GDP มองเป็น บวกต่อหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากการส่งออก อาทิ TU ITC CPF
สรุป เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดูดีขึ้นจากหลายๆ ภาคส่วน ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ว่า จะเป็น C, I, G, EX หนุนให้หุ้นกลุ่ม DOMESTIC PLAY กลับมาน่าสนใจ
ระดับการ SHORT SALE ลดลง หนุน SET ฟื้นตัวได้บ้าง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลทฯออกมาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน 4 ข้อ (รายละเอียดในบทวิเคราะห์ MARKET TALK วานนี้) บวกกับกระแสการมีกองทุน THAI ESG เงื่อนไขใหม่ในช่วงบ่ายวานนี้ ทำให้ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยลด น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้วานนี้ SET INDEX ปิดบวก 10.32 จุด หรือ +0.79% ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากสัดส่วนการ SHORT SELL ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยวันที่ 17 มิ.ย.67 ตลาดฯ มีสัดส่วน SHORT SELL สูงถึง 16% ของมูลค่าซื้อขาย พอวันที่ 18 มิ.ย.67 มีความคืบหน้าประเด็น UPTICK เริ่มหนุนให้สัดส่วนการ SHORT SELL ลดลงเหลือ 13.4% ของมูลค่าซื้อขาย และลดลงต่อเนื่องจนล่าสุดเหลือ 9.89% ซึ่งต่ำ กว่าค่าเฉลี่ย SHORT SELL ในรอบ 1 เดือนที่ 13.4% และค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี(YTD) ที่ 11.4% แล้ว
ขณะที่ในมุมของหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนี้เน้นไปที่หุ้นในกลุ่ม THAIESG ที่มีโอกาสได้เม็ด เงินกระตุ้น, ราคาหุ้นในช่วง YTD ปรับตัวลงมาลึก และมีสัดส่วนการ SHORT SELL ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาลดลงอย่างมีนัยฯ (เทียบสัดส่วน 1 เดือนย้อนหลัง) อาทิ ORI COM7 SCC IVL AP PSH PTTGC CBG IRPC OR เป็นต้น
SET INDEX น่าจะเริ่มเห็น DOWNSIDE และทยอยปรับตัวขึ้นได้ หลังมีประเด็นหนุน จากมาตการต่างๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่น UPTICK RULE และ การเพิ่มเงื่อนไขที่เอื้อ หนุนต่อ SET มากขึ้นของกองทุน THAIESG ซึ่งน่าจะช่วยลดระดับการ SHORT ให้ ลดลงได้อีกในระยะถัดไป ส่วนหุ้นวันนี้แนะนำ หุ้นในกลุ่ม THAIESG ที่มีโอกาสได้เม็ด เงินกระตุ้น, ราคาหุ้นในช่วง YTD ปรับตัวลงมาลึก และมีสัดส่วนการ SHORT SALE น้อยลงอย่างมีนัยฯ อาทิ ORI COM7 SCC IVL AP PSH PTTGC CBG IRPC OR เป็นต้น
THAIESG ใหม่ พระเอก พลิกเกมส์หนุนตลาดหุ้นไทย การจัดตั้งกองทุน THAIESG ใหม่ มาในเวลาที่เหมาะสมได้พอดี เพราะ ณ SET INDEX ตรงนี้ มี VALUATION ที่น่าสนใจมาก หลังดัชนีเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับกำไร บริษัทจดทะเบียนที่ทยอยเพิ่มขึ้น อทั้งยังมี P/E เพียง 14.3 เท่า, PBV 1.22 เท่า และ DIVIDEND YIELD 3.5% น่าจะจูงใจให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในกองทุน THAIESG ใหม่ และตลาดหุ้นได้มากขึ้นในช่วงนี้
ส่วนรายละเอียดที่สำคัญของ THAIESG ใหม่ คือ มีวงเงินที่ซื้อได้เพิ่มขึ้น เป็น 3 แสน บาท (เดิมจาก 1 แสนบาท) และระยะเวลาการถือครองน้อยสุดในกองทุนประหยัดภาษี ทั้งหมด เหลือเพียง 5 ปี (จากเดิมไม่น้อยกว่า 8 ปี) ส่วนสินทรัพย์ที่ถือครองเป็นหุ้นและ ตราสารหนี้ที่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ ESG
ในมุมมองฝ่ายวิจัยฯ ประเมินประเด็นดังกล่าวถือว่าดีต่อตลาดหุ้นไทยมากและเข้ามา ได้ในเวลาที่เหมาะสมพอดี โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ระยะเวลาการถือครองเพียง 5 ปี สั้นกว่ากองทุนประหยัดภาษีทั้งหมด และ กระจายตัวซื้อในเวลาไหนของปีก็ได้ถือว่าดีกว่า LTF ที่ถือครอง 7 ปีปฏิทิน มาก เพราะช่วยแก้ปัญหาเม็ดเงินไม่จำเป็นต้องไปกระจุกตัวซื้อกันในช่วงเดือน ธ.ค. เหมือน LTF ในอดีต ที่แรงซื้อเกือบ 45% อยู่ในเดือนนี้และแรงซื้อกว่า 65% กระจุกตัวเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ของปี และอาจจะช่วงพยุงตลาดในช่วย เวลาหุ้นตกหนักได้ดี
2. อาจหนุนให้เม็ดเงินที่เคยไหลออกไปกองทุนต่างประเทศ หลัง LTF หมดไป กว่า 1 แสนล้านบาท ไหลกลับเข้ามาบ้าง ตั้งแต่กองทุน LTF หมด สิทธิในการ ลดหย่อนภาษีในปี 2020 มีกองทุนต่างประเทศ (FIF) เพิ่มขึ้นจาก 743 กองทุน เป็น 1174 กองทุน หรือเพิ่มขึ้นมากว่า 431 กองทุน หนุนให้มีเม็ดเงิน สลับไปซื้อจน AUM เพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนล้านบาท แต่หลังจาก THAIESG ใหม่ พร้อมกับหุ้นย่อตัวลงมา ก็อาจจะหนุนให้เม็ดเงินดังกล่าวสลับเข้ามาซื้อได้ บ้าง
3. คาดหวังเม็ดเงินจาก THAIESG ใหม่ ไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้น 6 – 7 หมื่นล้านบาท และหนุนให้กองทุนลดสถานะเงินสดและซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในพอร์ต ช่วงเวลาที่เหลือของปี ในปีนี้สถาบันฯ ซื้อสุทธิหุ้นไทยน้อยมากเพียง 4.8 พันล้านบาท (YTD) เท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีการถือเงินสดอยู่ในระดับหนึ่งและ บางกองทุนถือเงินสดถึงเกือบ 10% เลยที่เดียว ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าประเด็นนี้ น่าจะหนุนให้กองทุนเพิ่มเงินในพอร์ต สร้าง WINDOW DRESSING ช่วง กลางปี และยังรอรับเม็ดเงินจากกองทุน THAIESG เข้ามาสมทบเรื่อยๆ ประเมินมีโอกาสใกล้เคียงกับเม็ดเงินจากกองทุน LTF ที่ 6 – 7 หมื่นล้านบาท ต่อปี และเม็ดเงินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท มักหนุนให้ SET ขยับขึ้นได้ 1 –2%
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ฝ่ายวิจัยฯ คิดว่า กองทุน THAIESG ใหม่ พระเอกพลิก เกมส์หนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้มีความเสี่ยงนิดนึงกับปริมาณเงินที่ อาจลดลงหากมีการออกกองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้ออกมาเยอะ ดังนั้นจึงทำการค้นหาหุ้นที่กองทุน THAIESG ถือมากสุด (ใน 10 กองใหญ่สุดจาก 32 ทั้งหมดกองทุน) หวังจะได้เม็ดเงินค่อยๆ ทยอยเข้ามาเพิ่มเติมในช่วงต่อจากนี้ โดยหุ้นที่ กองทุน THAIESG ถือเยอะสุด คือ CPALL ตามมาด้วย AOT (BK:AOT), PTT (BK:PTT), DELTA, GULF, PTTEP, CPAXT, CPN, BDMS
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities