ประเด็นเรื่องทิศทางดอกเบี้ยยังคงเป็นความสนใจหลัก โดยสหรัฐฯ รายงาน อัตราการว่างงาน เม.ย.67 อยู่ที่ 3.9% สูงกว่าคาด นำไปสู่ ความคาดหวังว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย.67 แทน พ.ย.67 หนุนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ส่วนในบ้านเราประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน เม.ย. ที่ +0.19% YOY พลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ทำให้เกิด ความคาดหวังว่าอาจเห็น กนง. คงดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ ตามในส่วนของบ้านเรามีประเด็นความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันระหว่าง ธปท. และ รัฐบาล เพิ่มเติมเข้ามา ทำให้เกิดกระแสเรื่องความเป็นอิสระ ของธนาคารกลาง ในการดำเนินนโยบายทางการเงิน สภาวะการ ดังกล่าวอาจนำมาซึ่งประเด็นความเชื่อมั่นของนักลงทุน ถือเป็นปัจจัยที่ ทำให้ตลาดหุ้นไทย PERFORM ได้ยากขึ้น
แม้ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และ เศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีประเด็นที่อาจสร้างความไม่มั่นใจ ทำให้SET INDEX อยู่ในกรอบ 1363 –1376 จุด หุ้น TOP PICK เลือก SCC, TIDLOR และ TRUE
สินทรัพย์เสี่ยงสดใส หลังตลาดคาด FED อาจลงดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกสดใส โดยผลตอบแทนช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมาบวกแรงกว่า 2% อาทิ NASDAQ +3.2% S&P500 +2.3% HIS +2.0% DJIA +1.6% เป็นต้น สาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงของสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของตัวเลขการจ้าง งานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 175,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.67 ต่ำกว่าที่ตลาด คาดไว้ที่ระดับ 238,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.9% ในเดือน เม.ย.67 ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.8%
ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ตลาดคาดหวังว่า FED จะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น โดยล่าสุดอ้างอิงจาก FED WATCH TOOL ตลาดคาด FED ลดดอกเบี้ยครั้งแรกใน เดือน 9 (เดิมคาดเดือน 11) และตลาดคาด FED ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2567 เหลือ 5.0% (เดิมคาดลด 1 ครั้งเหลือ 5.25%) ดังรูปด้านล่าง ซึ่งสอดคล้องกับ BOND YIELD สหรัฐฯที่ทยอยปรับตัวลงแรงเช่นกัน โดยล่าสุด BOND YIELD สหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลง 10 BPS.(ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา) อยู่ที่ระดับ 4.82%
ดังนั้น ในยามที่ตลาดหุ้นทั่วโลกสดใสเช่นนี้ คาดหวัง SET INDEX ได้รับ SENTIMENT เชิงบวกเช่นกันในวันนี้(หลังตลาดปิดวานนี้) โดยคาด SET INDEX ตลาดหุ้นปรับตัว ขึ้นแรงเช่นกัน โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหว 1363-1376 จุด
ทิศทางนโยบายการเงิน-การคลังยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ เป้าหมายระยะถัดไปยังเห็นมีมุมเศรษฐกิจฟื้นเหมือนกัน
วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์มีรายงาน เงินเฟ้อไทยเดือน เม.ย. ปรับตัวสูงขึ้น +0.19%YOY สูงกว่าคาดที่ -0.20% รวมถึงพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยสาเหตุมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามราคาพลังงานใน ตลาดโลก และราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น หลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพามิต รวมทั้งสินค้าในหมวดอาหารสดปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการประเมินเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. 67 จะอยู่ที่ 1.0-1.5%YOY และใน 2Q67 ประเมินเงินเฟ้อขยายตัวราว 0.8-1.0%YOY อีกทั้งคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2567 มีค่ากลางอยู่ที่ 0.5% (ช่วง 0-1%)
ภาวะเงินเฟ้อไทยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้น อาจจะทำให้ความหวังที่จะเห็น กนง. ปรับลด ดอกเบี้ย แผ่วลงไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใน ปัจจุบันของไทย 2.31% (ดอกเบี้ย 2.5%-เงินเฟ้อ 0.19%) ที่ยังยืนอยู่ในระดับสูงกว่า สหรัฐฯ 2.0% (ดอกเบี้ย5.5%-เงินเฟ้อ 3.5%) เชื่อว่าจะช่วยให้เงินบาทชะลอการอ่อน ค่าลงได้ และจะไม่กลับไปทะลุ 37 บาท/USD อีกครั้ง
ในอีกแง่มุมหนึ่งปรากฎกระแสในมุมที่เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธปท. เป็น อุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจ อีกทั้งทำให้ต้องใช้นโยบายการคลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มากเกินไป ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะระดับสูง และเรียกร้องให้มีการทบทวนการ ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ทั้งนี้กระแสการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังที่ไม่สอด ประสานกัน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ FUND FLOW ไหลเข้าไทย ไม่เต็มที่ และเกิดความผันผวนต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้นๆ แต่หากมองภาพในระยะถัดไป เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ด้วยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายต่างๆ อาทิ การเร่งเบิกจ่ายงบฯ ปี 67, โครงการ DIGITAL WALLET แจกเงิน 10,000 บาท, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว นโยบายการเงินและการคลังจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันได้ เพื่อหนุนให้ GDP GRWOTH ปี 2567 เติบโตได้ราว 2.4-2.8%
สรุป เงินเฟ้อไทยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้น อาจจะทำให้ความหวังที่จะเห็น กนง. ปรับลด ดอกเบี้ย แผ่วลงไปบ้าง อย่างไรก็ตามหากมองภาพในระยะถัดไป เศรษฐกิจไทยปีนี้ยัง มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ด้วยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ พร้อมกัน นี้ยังหวังว่าสุดท้ายแล้วนโยบายการเงินและการคลังจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน มากขึ้น น่าจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้อีกครั้ง
ตลาดหุ้นไทย มีโอกาสฟื้นต่อตามตลาดหุ้นโลก
วานนี้ตลาดหุ้นไทยหยุดทำการ แต่ตลาดหุ้นเมืองนอกยังเปิดทำการปกติ และเห็นเม็ด เงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง หลัง BOND YIELD 10 ปี สหรัฐลดลงกว่า 20 BPS. (MTD) มาอยู่ที่ 4.48% หนุนตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI) +1.15% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และบวกต่ออีก 0.84% ในวานนี้ คาด ตลาดหุ้นไทยจะได้รับกระแสบวกจากประเด็นดังกล่าวตามไปด้วย
ขณะที่เห็นสัญญาณบวกเล็กๆ จากค่าเงินบาทไทยที่กลับมามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจาก 37.1 บาท/เหรียญ เหลือ 36.7 บาท/เหรียญ (MTD) หวังจะเห็น FUND FLOW สลับ มาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น รวมถึงเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ค่อยๆ ฟื้นขึ้น น่าจะเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นได้
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น 3 ธีม
• หุ้นได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า BGRIM GULF GPSC PTTEP KBANK (BK:KBANK) ADVANC CPALL (BK:CPALL) CPN
• หุ้นรับกระแสวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง TIDLOR MTC SAWAD LH AP
• หุ้นกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นขั้นบันไดหลังจากนี้ SCC TRUE TU IVL CPF BJC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities