การปรับตัวลงแรงของ SET INDEX วานนี้ ถือเป็นการดูดซับแรงกดดันจากความ ตึงเครียดกรณี อิสราเอล-อิหร่าน ที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดยาวบ้านเรา ปัจจุบันแม้ สถานการณ์ยังไม่นิ่งแต่เห็นสัญญาณการยับยั้งชั่งใจ ของคู่กรณีและพันธมิตรแต่ ละฝ่ายมากขึ้น ทำให้ภาพรวมดูลดความกังวลไปได้ระดับหนึ่ง สำหรับผลกระทบ ต่อ SET INDEX จากนี้ไปเรามองว่ามีDOWNDSIDE ที่เปิดอยู่จำกัด โดยไม่น่าจะ เห็นการหลุดระดับ 1350 จุดลงไป ทั้งนี้ในเชิง VALUATION ที่ระดับ 1350 จุด ถือ ว่ามีนัยสำคัญกล่าวคือเป็นระดับค่า PE -1SD และ PBV -2SD ในรอบ 10 ปี ขณะที่MARKET EARNING YIELD GAP ขยายกว้างไปที่ 4.25%บนสมมุติฐาน ที่ กนง. ไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และหากปรับลดลง 0.25% ก็จะทำให้ MARKET EARNING YIELD GAP ขยายเป็น 4.5% ซึ่งถือว่ากว้างมาก ในเชิงกล ยุทธ์ที่ SET INDEX บริเวณใกล้เคียง 1350 จุด จึงเป็น โซนที่สามารถสะสมหุ้นได้ SET INDEX ได้ดูดซับปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ไว้มากแล้ว ขณะที่บริเวณ 1350 จุด ถือว่ามีนัยสำคัญทาง VALUATION มีโอกาสเกิด TECHNICAL REBOUND กรอบ 1360 –1380 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BJC, CENTEL และMAJOR
หาหุ้นป้องกันความเสี่ยงตะวันออกลางตึงเครียด
วานนี้ราคาน้ำมันจะร่วงลงราว 3% จน WTI แตะ$82.8และ BRENT ใกล้หลุด $87.3 หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ล่าสุดเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดคาด สะท้อนภาพความ กังวลความต้องการซบเซา บวกกับพัฒนาการความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุด หลายๆ ชาติออกมาห้ามปรามหลีกเลี่ยงการปะทะที่รุนแรง นำโดย G7 ที่ร้องขอให้ อิสราเอลไม่ยิงสวนกลับ รวมถึงตุรกีเตรียมคุยกับฝั่งฮามาสในวันที่20 เม.ย.67 เพื่อ ขอให้หยุดยิง
แต่อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถือเป็นปัจจัยผลักให้ราคาน้ำดีดตัว จากฝั่ง SUPPLY ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบด้านการผลิต นอกจากนี้หากพิจารณา ข้อมูลในอดีต ช่วงที่มีจำนวนการตีพิมพ์ข่าวหรือออกบทความเกี่ยวกับ “WAR” ที่พุ่ง สูงขึ้นอย่างมีนัยฯ (เฉลี่ยราว 15,000 ข่าว/วัน) มักกดดัน SET ผันผวนช่วงสั้นๆได้
สรุป พัฒนาการความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก เป็นความเสี่ยงที่อาจผลักให้ราคาน้ำดีดตัวต่อเนื่อง และยังมีโอกาสที่จะกดดัน SET ให้ ผันผวนช่วงในสั้นๆ ได้ ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำหุ้นกลุ่มอิงราคาน้ำมัน เพื่อป้องกันความ เสี่ยงจากความไม่แน่นอน อาทิ PTTEP PTT (BK:PTT) PTTG TOP SPRC BCP
ECB เตรียมลดดอกเบี้ยเร็วกว่า FED หนุน DOLLAR แข็ง บาท อ่อน
วานนี้อังกฤษเผยดัชนี CPI ชะลอตัวแตะ 3.2%YOY ในเดือนมี.ค.67 ลดลงจากเดือน ก่อนหน้าที่ +3.2%YOY เช่นเดียวกับ ดัชนี CORE CPI ชะลอตัวแตะ 4.2%YOY ลดลง จากเดือนก่อนหน้าที่ +4.5%YOY ดังรูปด้านล่าง ประเด็นดังกล่าว อาจหนุนให้ BOE ทยอยดำเนินนโยบายทางการเงินเชิงผ่อนคลายเร็วกว่า FED
ขณะที่ทาง ECB ก็เตรียมดำเนินนโยบายทางการเงินเชิงผ่อนคลายเร็วกว่า FED เช่นกัน หลังประธาน ECB จ่อลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.67 นี้25 BPS. โดยรวมคาดทั้ง ปี 2567 เตรียมลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 75 BPS. หากไม่มีเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ตลาด การเงินและเศรษฐกิจ ซึ่งสวนทางกับทางสหรัฐฯ ที่ FED WATCH TOOL คาดว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ยเพียง1 ครั้งในปีนี้(25 BPS.)และมีโอกาสเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ย ครั้งแรกในเดือน ก.ย. 67 ประเด็นดัลกล่าว ทำให้เม็ดเงินอาจไหลออกจากยุโรป และเข้า สหรัฐฯ หนุน DOLLAR INDEX แข็งค่า และทำให้ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าต่อเนื่องได้
จากที่ค่าเงินบาทไทยมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องในระยะถัดไป ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์จึงเน้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว โดยแบ่งเป็น 3 ธีมหลัก คือ 1.หุ้นกลุ่มส่งออก 2. หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว 3. หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
ความหวังแนวรับสำคัญทางพื้นฐาน 1350 จุด จะเอาอยู่
วานนี้ SET INDEX ปรับตัวลงแรง -29.44 จุด หรือ -2.11% มาอยู่ที่ 1366.94 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท พร้อมกับแรงขายจากต่างชาติอีก -6.4 พันล้าน บาท ตอบรับประเด็นลบปัจจัยภายนอกในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ อย่าง ความไม่ สงบในตะวันออกกลาง รวมถึงกังวล FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยช้าลง แต่อย่างน้อย SET INDEX ย่อตัวได้น้อยกว่าตลาดหุ้นโลกที่ -3.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีพัฒาการสำคัญอยู่ 2 เรื่องในช่วงนี้
1. การขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทจดทะเบียน โดยเดือน เม.ย. มีหุ้นขึ้นเครื่อง หมา XD ทั้งสิ้น 106 บริษัท กดดัน SET มากสุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ ราว 9.5 จุด แต่แรงกดดันช่วงที่เหลือของเดือน (18 – 30 เม.ย.) เหลือหุ้นขึ้น เครื่องหมาย XD 72 บริษัท และแรงกดดัน SET ลดลงเหลือ 4.4 จุดเท่านั้น
2. SET INDEX มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับเกณฑ์หุ้นเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ บวกต่อ BJC เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า มีโอกาสสูงที่ SET จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการคำนวณดัชนีรอบถัดไปเลย เพราะการปรับเกณฑ์ สภาพคล่องใหม่ หรือเกณฑ์ TURNOVER ต่อเดือน จากเดิมใช้ลดเพดาน TURNOVER ลงจาก 2% ต่อเดือน แล้วลดลงที่ละ 0.5% หากหุ้นไม่ครบ จำนวน) ให้เป็นแบบ MINIMUM REQUIREMENT คือ TUROVER > 1% ต่อ เดือนเลย ถือเป็นไปตามหลักสากล เหมือนกับเกณฑ์ของ MSCI และ FTSE บวกต่อหุ้น BJC เพราะมีโอกาสเข้าทั้ง SET50 และ SET100 ในรอบถัดไป
ส่วน SET INDEX แม้จะถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่หากกลับมามองในมุม VALUATION จะห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1350 จุด อยู่ 3 ส่วน ดังนี้
1. ณ SET 1350 จุด มี PER67F ที่ 16.6 เท่า ถือว่าเป็นระดับต่ำสุดแตะระดับ - 1SD ในรอบ 10 ปีและเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563
2. ณ SET 1350 จุด มี PBV ที่ 1.31 เท่า ถือว่าต่ำมากและอยู่ในบริเวณ -2SD ในรอบ 10 ปีและเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563
3. ณ SET 1350 จุด มี MEYG ที่ 4.25% และ 4.5% กรณีลดดอกเบี้ย 1 ครั้งใน ปีนี้ ถือเป็นระดับที่ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนตราสารหนี้และหุ้น หรือ MARKET EARNING YIELD GAP (MEYG) กว้างเกินไปเมื่อเทียบกับระดับ ปกติ สามารถคาดหวังเม็ดเงินมีการโยกย้ายกลับมาในสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มเติมในระยะถัดไปได้
ทั้ง 3 ปัจจัยล้วนแสดงให้เห็นว่าที่ SET INDEX บริเวณใกล้ๆ 1350 จุด เป็นจังหวะน่าหา หุ้นทยอยสะสมเข้าพอร์ตเพิ่มเติม และน่าจะผลตอบแทนได้ดีในระยะถัดไป ภายใต้ สภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนหุ้นเด่นน่าสะสมในช่วงนี้ แนะนำหุ้น DOMESTIC หลบความเสี่ยงจากปัจจัย ภายนอก BJC, MAJOR, SCCC, TASCO หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อน TU, CENTEL หุ้นลดความเสี่ยงสงครามตะวันออกกลาง PTT, PTTEP
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities