ดูเหมือนว่าแรงขับเคลื่อน SET INDEX จะเบาลงในหลายมติ เริ่มจากมูลค่าการซื้อ ขายที่ลดลง โดยวานนี้หากหักรายการ BIG LOT ออกไป จะเหลือเพียง 3.61 หมื่น ล้านบาท และหากมองย้อนหลังกลับไปนับตั้งแต่ 2Q66 จนถึงปัจจุบันระดับ TURNOVER รายเดือนอยู่ต่ำกว่า 70% มาโดยตลอด(เว้น ส.ค.66) หากตัวเลข มูลค่าการซื้อขายยังไม่กลับมาเหนือ 5 หมื่นล้านบาท/วัน การขับเคลื่อน SET INDEX ให้ขึ้นไปเหนือ 1400 จุด คงเป็นเรื่องยาก ส่วนในมุมของปัจจัยพื้นฐาน ก็ยัง ขาดแรงกระตุ้นที่ชัดเจนเริ่มจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ก็ยังเห็นการปรับลด คาดการณ์GDP GROWTH โดยล่าสุดปรับลดตัวเลขปี 2567 เหลือ 2.6% YOY และยังต้องรอลุ้นว่า GDP งวด 1Q67 จะติดลบ QOQ หรือไม่ ขณะที่มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะมาในช่วง 2Q67 หลังการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนกำไร บริษัทจดทะเบียนถูกปรับลด EPS ปี 2567 ลงมา โดยเราประเมินที่ 91.4 บาท/หุ้น
แรงขับเคลื่อน SET INDEX เบาลงอย่างต่อเนื่อง และกว่าที่จะเห็นมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นก็น่าจะเป็น 2Q67 ทำให้ในช่วงนี้การเคลื่อนไหจะอยู่ในกรอบแคบ ช่วง 1379 –1390 จุด หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BGRIM และ MAJOR
จับตาการประชุม FED คืนนี้ตี 1
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวกราว 0.4% -0.8% หลัง BOND YIELD 2 ปี และ10 ปี ของสหรัฐฯ ย่อตัวลงแหลือ 4.68% และ4.29% ตามลำดับ โดยคืนนี้ช่วงตี 1 (วันที่ 21 มี.ค. เวลา 1.00 น.) รอติดตามการประชุม FED ครั้งที่ 2/2567 ซึ่งน่าจะยัง เห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.5% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 นอกจากนี้ FED จะมีการ รายงานคาดการณ์ดอกเบี้ยเป็นครั้งของปีนี้ (DOT PLOT) ขณะที่การเปิดเผย DOT PLOT ล่าสุดในรอบเดือน ธ.ค.66 มีค่า MEDIAN ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ของปี 2567 อยู่ที่ 4.6% ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ FED 11 เสียง (หนึ่งในนั้นมีเสียง VOTE จากประธาน FED) คาด ว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 75 BPS. หรือ 3 ครั้ง
สำหรับผลการประชุม BOJวานนี้ มีมติ 7 ต่อ 2ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากระดับ -0.1% เป็น 0.0 - 0.1% รวมทั้งผ่อนคลาย YIELD CURVE CONTROL หรือยกเลิกนโยบายคุมเส้นอัตราผลตอบแทน หลังใช้ต่อเนื่อง 8 ปี และยุติการซื้อ ETF JRIETS แต่ยังเดินหน้าซื้อพันธบัตรระยะยาว 4.5 แสนล้านเยนต่อไป
ั้งนี้ ดอกเบี้ยญี่ปุ่นที่ขยับสูงขึ้น บวกกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะปรับตัวลงในปีนี้ เชื่อว่า จะเป็นแรงหนุนให้เงินเยนจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป และด้วยเงินเยนมีสัดส่วนใน ตะกร้าดอลลาร์ราว 14% ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 อาจกดดันให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่า ลงได้และน่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้างตามลำดับ
สรุป คืนนี้ช่วงตี 1 รอติดตามการประชุม FED พร้อมกับรายงาน DOT PLOT และ รายละเอียดการทำ QT ของ FED ทั้งนี้ หาก FED มีการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2-3 ครั้ง เชื่อว่าจะเห็นบ้านเรามีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อยๆ 1 ครั้ง
ราคาน้ำมันยังอยู่ทิศทางขาขึ้น เลือก PTTEP TOP เป็นตัวเลือก การลงทุน
ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุดอยู่ในกรอบ 82-84 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังอยู่ในทิศทางขา ขึ้นหากเทียบกับช่วงครึ่งแรกของงวด 1Q67 ที่ปรับฐานลงไปอยู่ราว 75-77 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางหลัง อิสราเอลยืนยันจะไม่เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงช่วงคราวในระหว่างช่วงเทศกาล รอมฎอน รวมถึงรัสเซียประกาศพร้อมทำสงครามนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯเริ่มส่งทหาร เข้าไปในพื้นที่ของยูเครน ประกอบกับมีรายงานยูเครนส่งโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของ รัสเซียหลายแห่ง นอกจากนี้ IEA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันใน ตลาดโลกปี 2567 ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 103.2 ล้านบาร์เรล/ วัน จากเดือนก่อนหน้าที่คาดไว้ที่ระดับ 103.1 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตามการปรับ ขึ้นของราคาน้ำมันอาจจะถูกกดดันจากความกังวลด้านความต้องการใช้น้ำมันใน ประเทศจีนจะชะลอตัว หลังมีรายงานว่าจีนนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ลดลง 5.7% จากเดือน ธ.ค. มาอยู่เพียง 10.7 ล้านบาร์เรล
สำหรับในส่วนของทิศทางค่าการกลั่นพบว่าค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ล่าสุด อยู่ในกรอบราว 6-7 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากช่วงครึ่งแรกของงวด 1Q67 ที่ขึ้นไปอยู่ในระดับ 9-10 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากช่วง HIGH SEASON ฤดูหนาวที่กำลังจะจบลง ทำให้ความต้องการใช้ปรับตัวลดลง แต่ค่าการ กลั่นในช่วงปลายไตรมาส 1 ต่อเนื่องไตรมาส 2 คาดจะยังได้รับปัจจัยบวกหนุนไว้ไม่ให้ ค่าการกลั่นลดลงมากนักจากการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงของโรงกลั่นหลานแห่ง ตามฤดูกาลหลังเดินเครื่องเต็มที่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้ SUPPLY บางส่วนหายไป จากตลาด ดังนั้นในส่วนของทิศทางค่าการกลั่น ยังให้น้ำหนักเป็นไปตามช่วงฤดูกาล
สรุป ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ยังเป็นขาขึ้น แม้ค่าการกลั่นอาจชะลอตัวบ้างในไตรมาส 1 ชอบหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่รับผลประโยชน์โดยตรง อาทิ PTTEP TOP คาดจะสามารถ OUTPERFORM SET ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ปัจจัยบวกไม่มี ปัจจัยลบผ่านมาแล้ว SET ไม่ขึ้น-ลง อย่างมีนัยฯ
วานนี้ SET INDEX ปิดลบ 3.48 จุด อยู่ที่ระดับ 1382.46 จุด และมีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 5.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าซื้อขายที่สูงเป็นอันดับ 6 ของปีนี้ และเป็นอันดับ 1 ของเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักมาจากมูลค่า BIGLOT ของ AWC-F ที่สูงถึง 1.79 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากนำมาหักออกจากมูลค่าซื้อขายของ SET จะทำให้มูลค่าซื้อ ขายที่แท้จริงอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ึ่งหากพิจารณาเป็นรายเดือน จะเห็นได้ว่าไตรมาส 1 ของปีนี้ เทียบกับไตรมาส 1 ของ ปีที่แล้ว SET มีมูลค่าซื้อขายที่เบาบางลงอย่างชัดเจน โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 4.2-4.5 หมื่นล้านบาท(คิดเป็นระดับ TURNOVER 61%-65%) ซึ่งช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมี มูลค่าซื้อขายที่ระดับ 5.8-6.8 หมื่นล้านบาท(คิดเป็นระดับ TURNOVER 72%-81%) ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบาง คาดว่าจะเป็น
• ในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยหนุนเข้ามาเสริมให้ SET คึกคัก ทั้งในมุมของนโยบาย การเงิน ที่ยังมีความเสี่ยงที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมจนถึงช่วงกลางปีนี้ และนโยบายการคลัง ที่ยังไม่มีแรงเบิกจ่าย ต้องรอจนกว่างบประมาณปี 67 จะ มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ FLOW ต่างชาติยังคงไหลออกจากหุ้นไทยเรื่อยมา
• การปรับประมาณการลงของ GDP และ EPS โดย GDP GROWTH ปีนี้หลาย สำนักเศรษฐกิจปรับประมาณการ GDP ลงเป็นต่ำกว่า 3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่า ระดับ GDP ของเพื่อนบ้านเรา(อาเซียน) ขณะที่ EPS67F ก็มีการทยอยปรับ ประมาณการลง หลังงบ 4Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 91.40 บาท/หุ้น
ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ SET INDEX ผันผวนในกรอบแคบ และเกิดการ SECTOR ROTATION ได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการหนุนหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็กกลับมา OUTPERFORM อาทิ กลุ่ม STEEL(SAM BSBM TSTH PERM INOX) AGRI(NER STA TRUBB) CONS(CNT PLE CIVIL TEAMG UNIQ) เป็นต้น
สรุป ปัจจัยบวกไม่มี ปัจจัยลบที่ผ่านมาแล้ว ทำให้ SET INDEX ไม่ขึ้น-ลง อย่างมีนัยฯ โดยประเมินกรอบวันนี้ที่ระดับ 1379 –1390 จุด ขณะที่ FLOW ต่างชาติยังไม่มีทีท่าว่า จะไหลกลับเข้ามา จึงทำให้หุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก OUTPERFORM อาทิ กลุ่ม STEEL(SAM BSBM TSTH PERM INOX) AGRI(NER STA TRUBB) CONS(CNT PLE CIVIL TEAMG UNIQ) เป็นต้น
ส่วน TOP PICKS วันนี้เลือก MAJOR, ADVANC และ BGRIM
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities